เจาะคดี ส.ส.ปารีณา ตร.สั่งฟ้อง4 ข้อหา ฟันคดีรุกป่า เจ้าตัวใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง เตรียมสู้ทั้งในศาล-ป.ป.ช.

คืบหน้ามาเป็นลำดับ สำหรับคดีรุกป่าของส.ส.คนดังอย่าง ปารีณา ไกรคุปต์ จากพรรคพลังประชารัฐ
หลังจากที่ถูกร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2562 จนมาถึงบัดนี้ คดีรุกป่าในจ.ราชบุรี เนื้อที่กว่า 1,700 ไร่ ก็คืบหน้าด้วยการที่ตร.บก.ปทส.สั่งฟ้อง 4 ข้อหาสำคัญ

ซึ่งรวมไปถึงการแจ้งข้อหานายทวี ไกรคุปต์ ในข้อหาลักษณะเดียวกันอีกด้วย

โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแจ้ง 2 ข้อหา ในเรื่องการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ และความผิดทางจริยธรรมของส.ส.

ขณะที่น.ส.ปารีณาเองก็พร้อมต่อสู้คดี และใช้เอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครอง

ขณะที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พปชร.คู่ซี้ของนางปารีณา ก็ระบุทันทีว่านี่คือบทพิสูจน์ว่าไม่มีเรื่อง 2 มาตรฐาน ทุกคนล้วนถูกดำเนินคดี

ซึ่งต้องดูกันว่าเมื่อการต่อสู้คดีไปพิสูจน์กันในชั้นศาลแล้ว

จะมีบทสรุปอย่างไร

ปทส.ฟ้องปารีณารุกป่า 4 ข้อหา

วันที่ 2 พ.ย. พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม ผบก.ปทส. แถลงหลังการประชุม สรุปสำนวนคดีบุกรุกที่ป่าไม้ของเขาสนฟาร์ม หมู่ที่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 711 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา ของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โดยระบุว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนตรวจสอบรายละเอียดของสำนวนการสอบสวนจนเป็นที่เรียบร้อย หลังจากเมื่อต้นเดือนต.ค. 2563 ป.ป.ช.ส่งคดีกลับคืนมาให้บก.ปทส.รับไปดำเนินการ

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง และเตรียมส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ จ.ราชบุรี สั่งฟ้อง ซึ่งตัวของน.ส.ปารีณา ก็นัดหมายกับพนักงานสอบสวนไว้แล้วด้วยว่าจะมาพบอัยการด้วยตัวเองในวันที่ 5 พ.ย. เวลา 10.00 น.

ทั้งนี้ สำนวนที่พนักงานสอบสวนได้สรุปสั่งฟ้องให้อัยการพิจารณามีด้วยกันทั้งหมด 6 แฟ้ม ความหนากว่า 2,408 หน้า สอบปากคำพยานเพิ่มเติมตามที่น.ส.ปารีณา ร้องขอมาอีก 3 ปาก ซึ่งเป็นพยานที่ดินข้างเคียง
สรุปว่าพบความผิดใน 4 ข้อหา ประกอบไปด้วย ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม.14 และ ม.31 “ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต”

ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 “ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่”

ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน “ร่วมกันเข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่อสร้างหรือเผาป่า กระทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้ามในราชกิจจานุเบกษา หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดิน โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่าห้าสิบไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต”

และความผิดตามพ.ร.บ.น้ำบาดาล พ.ศ.2520 “ร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต”

นอกจากนี้ บก.ปทส.ยังเรียกนายทวี ไกรคุปต์ บิดาของน.ส. ปารีณา ให้รับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 23 พ.ย. กรณีถูกร้องเรียนว่าบุกรุกที่ดินรัฐกว่า 1 พันไร่ บริเวณหมู่ 9 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดคือจำคุก 4-20 ปี ปรับ 200,000-2,000,000 บาท

พิสูจน์กันในชั้นศาล

‘เอ๋’ใช้เอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บก.ปอท.มีมติสั่งฟ้องทั้ง 4 ข้อหา น.ส.ปารีณายังคงยืนยันทำหน้าที่ส.ส. และให้ทนายความเป็นผู้ชี้แจง

โดยนางภัทรมน เพ็งส้ม ทนายความ ระบุว่า ได้ร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบรายละเอียด เช่น ที่ดินในพื้นที่ใกล้เคียง 100 แปลง และการขอให้สอบสวนผู้ถือครองที่เป็นของน.ส.ปารีณา ส่วนที่ บก.ปทส.ส่งอัยการให้ฟ้องคดีช่วงที่สภา ผู้แทนราษฎรเปิดสมัยประชุมนั้น เบื้องต้นน.ส.ปารีณาจะขอใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง พร้อมขอให้สอบพยานเพิ่มเติม 10 ปาก

หาก บก.ปทส. หรืออัยการจะดำเนินการ ต้องส่งเรื่องให้ผบ.ตร.เพื่อส่งเรื่องมายังประธานสภา ให้สภามีมติจะส่งตัวให้ดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุมหรือไม่

นางภัทรมนกล่าวด้วยว่า ส่วนของคดีอาญา พร้อมต่อสู้ทุกประเด็น เพราะข้อเท็จจริงน.ส.ปารีณาเข้าถือครองที่ดินดังกล่าวในปี 2545 ซึ่งเป็นพื้นที่ส.ป.ก.มาแล้วหลายปี

อีกทั้งยังเป็นการใช้พื้นที่เพื่อทำเกษตรกรรม ทำฟาร์มไก่ ไม่ได้บุกรุก แผ้วถางป่าเพิ่มเติม ตามความหมายของคำว่าบุกรุกป่า

นอกจากนี้ ยังเห็นว่าสอบสวนเรื่อง ดังกล่าวรวบรัด เห็นได้จากใช้เวลาดำเนินการเพียงปีเศษ คือ แจ้งความปี 62 และส่งฟ้องปี 63 ทั้งที่กรณีของบุคคลอื่นต้องใช้เวลากว่า 10 ปี

ขณะที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ให้กำลังใจน.ส. ปารีณา ในฐานะเพื่อนส.ส.พรรคเดียวกัน พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่ก่อนหน้านี้มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการช่วยเหลือไม่ให้รับโทษ

พิสูจน์ได้ว่า รัฐบาลชุดนี้ และกระบวนการยุติธรรมนั้นให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย ส่วนจะถูกหรือผิดอย่างไรนั้นต้องไปพิสูจน์ในชั้นศาล เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด เบื้องต้นโทรศัพท์ให้กำลังใจน.ส.ปารีณา โดยเจ้าตัวยืนยันว่าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ เพราะมีทั้งหลักฐานและเรื่องของเจตนา

ส่วนจะตัดสินอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล พร้อมยอมรับคำพิพากษาของศาล

ป.ป.ช.ก็ฟัน 2 ข้อหาหนัก
ไม่เพียงแค่คดีอาญา ก่อนหน้านี้เมื่อ วันที่ 7 ก.ย.ระบุว่า ป.ป.ช.เตรียมแจ้งข้อหาน.ส.ปารีณา 2 ข้อหา คือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และกรณีกระทำความผิดจริยธรรมร้ายแรง หากไต่สวนแล้วมีมูลความผิดจริงจะส่งเรื่องไปยังอัยการ เพื่อส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ขณะที่การบุกรุกที่ดิน แยกเป็น สองส่วนคือ ส่วนที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ส่งเรื่องมาให้ป.ป.ช.ดำเนินการ เนื่องจากเห็นว่า น.ส.ปารีณาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบุกรุก

แต่ป.ป.ช.เห็นว่า เรื่องนี้เป็นการกระทำความผิดในฐานะส่วนตัว และไม่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำในฐานะ ส.ส. จึงส่งเรื่องกลับไปให้ตำรวจบก.ปทส.ดำเนินการ
ขณะที่นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการป.ป.ช. หลังจากแจ้งข้อหาแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาสามารถแจงหลักฐานเพิ่มเติมภายใน 15 วัน หากครบ 15 วันแล้วถือว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ประสงค์จะแก้ข้อกล่าวหาเพื่อหักล้าง

“การแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว เป็นเพียงกระบวนการตามกฎหมาย น.ส.ปารีณายังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะคดียังไม่มีการชี้มูลความผิด และเมื่อแก้ข้อกล่าวหาแล้ว หากป.ป.ช.เห็นว่าไม่มีมูลความผิด คดีดังกล่าวก็จะตกไป แต่หากมีมูลก็ชี้มูลความผิดก่อนส่งเรื่องนี้ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้วินิจฉัย และหากศาลฯ ประทับรับฟ้องน.ส.ปารีณา จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ทันที”

ขณะที่นายทศพล เพ็งส้ม ฝ่ายกฎหมายของพรรคพลังประชารัฐ ทนายความ ระบุว่าข้อกล่าวหาที่ป.ป.ช.แจ้งต่อน.ส.ปารีณามี 2 ข้อหา ข้อหาแรกคือ การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ มี 3 เรื่องคือ 1.ไม่เชื่อว่าน.ส.ปารีณามีสถานะเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ 7.7 ล้านบาทจริง เพราะฝ่ายลูกหนี้ปฏิเสธว่า ไม่ได้กู้เงินจากน.ส.ปารีณา กรณีนี้มีหลักฐานชัดเจนเป็นหนังสือกู้ยืมเงิน เรื่องอยู่ระหว่างการฟ้องร้องเป็นคดีความ

2.ราคาพระสมเด็จบางขุนพรม 2.5 ล้านบาท ที่ได้จากอดีตสามี ซึ่งน.ส.ปารีณา แจ้งราคาดังกล่าวต่อป.ป.ช.ตามที่อดีตสามีบอก 3.การแจ้งเท็จเรื่องการครอบครองที่ดินภบท.5 จำนวน 58 แปลง ยืนยันว่าไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จต่อป.ป.ช. พร้อมไปชี้แจงต่อป.ป.ช.ว่า รายการที่ดินภบท.5 ที่ครอบครองอยู่จริงมีอยู่ 29 แปลง ไม่ใช่ 58 แปลง

โดย 29 แปลงที่เหลือ ถ้านำมาเทียบจะเป็นแปลงเดียวกับ 29 แปลงที่มีอยู่จริง แต่ที่แจ้งไป 58 แปลง เนื่องจากฝ่าย บัญชีเข้าใจคลาดเคลื่อนในการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ยื่นเอกสารไปทั้งหมด โดยไม่รู้ว่ามีรายการที่ดินที่ซ้ำซ้อนเป็นรายการเดียวกันอยู่ ยืนยันว่าไม่มีการสวมรอยเอาที่ดินคนอื่นมาแจ้ง

สู้กันทั้งในป.ป.ช. และในศาลอาญา

เป็นบททดสอบของกระบวนการยุติธรรมที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง