“แสงดาวแห่งศรัทธา” ภายใน “กรงขัง” ของ “เพนกวิน-รุ้ง”

สถานการณ์การเมืองช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม ดูคล้ายจะไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสเกิดขึ้น

ยิ่งกว่านั้น หลายคนคิดว่าการที่ศาลยกคำร้องฝากขัง “เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์-หมอลำแบงค์” (3 คนแรกคือแกนหลักของม็อบคณะราษฎร และแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ขณะที่คนสุดท้ายเคยต้องโทษในคดี ม.112 และเคยขึ้นเวทีปราศรัยม็อบปลดแอกเป็นครั้งคราว) จะช่วยให้บรรยากาศที่ตึงเครียดคลี่คลายมากขึ้น

แต่แล้วคนที่ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกลับมีเพียง “หมอลำแบงค์-ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม” ขณะที่ “เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์” ถูกอายัดตัวต่อจากหมายจับของสถานีตำรวจหลายแห่ง และถูกนำตัวไปที่ สน.ประชาชื่น

สถานการณ์ที่ควรจะผ่อนคลายจึงเริ่มชุลมุน ผู้ชุมนุมที่ไม่พอใจได้ล้อมและทุบรถตำรวจ เพนกวินและไมค์ที่อยู่ในรถคันเดียวกันได้รับบาดเจ็บและมีอาการป่วยเพราะขาดอากาศหายใจ

ผู้คนหลั่งไหลไปชุมนุมเรียกร้องให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” ด้านหน้า สน.ประชาชื่น ไมค์ที่หมดสติถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ขณะที่เพนกวินกระทำการอารยะขัดขืน โดยไม่ยอมเข้าไปในสถานีตำรวจ แล้วมีรุ้งที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำหญิงและถูกพาตัวขึ้นไปบน สน. ตามมาสมทบ

ฉับพลัน เวทีปราศรัยของสองนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ถูกจับกุมตัวไปคุมขังตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 15 ตุลาคมก็เปิดฉากขึ้น พร้อมด้วยการแสดงดนตรีและการไฮด์ปาร์กของเหล่ามิตรสหายร่วมอุดมการณ์

ทีมข่าวการเมืองมติชนทีวีที่ไปเกาะติดเหตุการณ์ในวันนั้นขออนุญาตนำถ้อยคำปราศรัยบางส่วนของเพนกวินและรุ้งในคืนวันที่ 30 ตุลาคมมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง ณ ที่นี้

พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน)

“นี่คือสารจากในคุก ที่กล่าวขึ้นในนามของพวกเราที่ถูกปล่อยตัวในวันนี้ทุกคน ความลำบากในตลอดระยะเวลาสิบกว่าวันที่เราถูกพรากอิสรภาพ มันคือคืนวันแห่งความขมขื่น

“ความขมขื่นดังกล่าวนั้นมิใช่ความขมขื่นทางกาย เพราะบรรดาความยากลำบากเพียงใดที่ผู้ต้องขังอย่างเราต้องเผชิญนั้น ก็ไม่อาจเทียบเทียมได้กับความยากลำบากของประชาชนที่ต้องเผชิญภายใต้ระบอบเผด็จการตลอด 6 ปีที่ผ่านมา

“ความขมขื่นที่เรารู้สึก คือพวกเราทุกคนถือว่าตัวเองเป็นนักสู้ ที่เราเข้าคุกนั้นเราก็ไม่ได้เข้าไปในฐานะนักโทษ เราเข้าไปในฐานะนักสู้ เราขมขื่นเพราะเรารู้สึกเสียใจที่ไม่อาจจะไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในการชุมนุมที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราถูกพรากอิสรภาพไปแล้วได้

“แต่กระนั้นเอง การชุมนุมที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราต้องเข้าไปอยู่หลังซี่กรงนั้น เท่าที่ติดตามข่าวได้อย่างจำกัด ก็เป็นเครื่องยืนยันสัจธรรมอันสำคัญยิ่งของกระบวนการประชาธิปไตยในทุกประเทศ

“นั่นคือซี่กรงอาจขังดวงดาวได้ แต่ไม่อาจขังแสงดาวได้ แม้คุณจะจับดวงดาวเข้าไปในกรงขังสักกี่ดวง ดวงดาวอีกทั้งกาแล็กซี่จะปรากฏบนฟากฟ้าทั่วน่านฟ้าไทย

“โดยส่วนตัวผม และผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็คิดเหมือนกับผม รู้สึกเหมือนกับผม ผมขอปฏิญาณต่อทุกคน ณ ตรงนี้ (ชูสามนิ้ว) ว่าหัวใจของเรายังคงมีศรัทธามั่นต่อสถาบันประชาชน สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พัดโชยมาทั่วโลก และบัดนี้ได้ถึงประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์

“พี่น้อง สายลมนี้จะหอบเอาดอกไม้แห่งอุดมการณ์ให้เบ่งบานไปทั่วทั้งแผ่นดิน เราจะสู้กับความมืดด้วยแสงดาว เราจะสู้กับทมิฬมารด้วยดอกไม้ และเราจะสู้กับกระบอกปืนด้วยโบขาว”

ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง)

“ในคุกมันก็จะมีแบบส่งของให้กันข้ามแดน ชาย-หญิงข้ามแดนได้ แล้วกวิ้น (เพนกวิน) ก็ส่งโน้ตมา ก่อนหน้าวันนั้นก็คือมันเป็นวันที่เราไปเจอกันครั้งแรก ต้องยอมรับว่าหนูร้องไห้ เพราะว่ามันท้อ มันกลัวมาก ก็มีข้อความหนึ่งที่พี่กวิ้นส่งมา มันเขียนว่า “จงเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ และยืนเด่นโดยท้าทาย”

“ไม่รู้ว่าทุกคนรู้จักกันไหม แต่มันเป็นเพลงที่ทีม มธ. (แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม) ร้องกันบ่อยมาก มันคือเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ที่รุ่นพี่เรา จิตร ภูมิศักดิ์ เขาแต่งไว้ตอนที่เขาอยู่ในคุก

“คือเนื้อเพลง ตอนอยู่ข้างนอกเราก็อินเว้ย อยู่ข้างนอกเราอินเลยนะ แต่พอเข้าไปอยู่ในคุกจริงๆ มันแบบ มันหาอะไรมาทดแทนเพลงนี้ไม่ได้เลยเว้ย

“แบบอยู่ข้างในเรารู้สึกยังไง มันอยู่ด้วยความศรัทธาจริงๆ ว่าเราผ่านไปแต่ละวันด้วยความศรัทธา ว่าพี่น้องมวลชนเราจะออกมาเคลื่อนไหวในทุกๆ วัน เพื่อนเราจะยังสู้ต่อ เพราะเราไม่รู้เลยว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราได้แต่นึกไปว่าอยากให้เกิดแบบนี้ขึ้นจังเลย อยากให้ทุกคนออกมาเคลื่อนไหวเยอะๆ จังเลย

“แล้วพอพี่ทนายมาเล่าให้ฟัง คือมันดีใจมากที่แต่ละวันทุกคนออกมาเยอะมากจริงๆ ก็อยากชวนทุกคนร้องเพลงนี้ ทีม มธ.ก็ช่วยทุกคนร้องด้วยนะ จะได้ร้องไปพร้อมๆ กัน เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา

“(ชูสามนิ้ว) พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว ส่องฟากฟ้า เด่นพราวไกลแสนไกล ดั่งโคมทอง ส่องเรืองรุ้งในหทัย เหมือนธงชัย ส่องนำจากห้วงทุกข์ทน พายุฟ้า ครืนข่มคุกคาม เดือนลับยาม แผ่นดินมืดมน ดาวศรัทธา ยังส่องแสงเบื้องบน ปลุกหัวใจ ปลุกคนอยู่มิวาย

“ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย แม้นผืนฟ้า มืดดับเดือนลับละลาย ดาวยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน ดาวยังพราย อยู่จนฟ้ารุ่งราง

“อยากให้ในวันหนึ่ง วันที่เราได้รับชัยชนะ แล้วเรามาร้องเพลงนี้ไปพร้อมๆ กันนะคะ”