กรองกระแส / สถานะ การเมือง ของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รุก กลายเป็น รับ

กรองกระแส

 

สถานะ การเมือง

ของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา

รุก กลายเป็น รับ

 

การตอบรับเข้าร่วม “คณะกรรมการสมานฉันท์” ของนายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สร้าง “ความหวัง” ขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะว่า 3 คนนี้เป็น “อดีต” นายกรัฐมนตรี

ความสำเร็จนี้มิได้มาจากความพยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถของนายชวน หลีกภัย ซึ่งดำเนินการไปตามมติจากที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเท่านั้น

หากแต่มาจากความเป็นจริงของ “ปัญหา”

ความเป็นจริงของปัญหาที่ปรากฏขึ้นภายในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของ “เยาวชนปลดแอก” ในเดือนกรกฎาคมที่พัฒนาเป็น “คณะราษฎร 2563” ในเดือนตุลาคมนั้นเอง

ทำให้เกิดอารมณ์ “ร่วม” ในทางสังคม

เป็นอารมณ์ “ร่วม” ที่สมควรจะมีกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งมาสะสางปัญหาก่อนที่ปัญหาจะกลายเป็น “วิกฤต” อันใหญ่หลวงขึ้นอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต

ไม่ว่าอดีตเมื่อปี 2519 ไม่ว่าอดีตเมื่อปี 2553

 

อะไรคือ ปัญหา

ที่จะเป็น “วิกฤต”

ต้องยอมรับร่วมกันว่า ปัญหาที่ปะทุขึ้นอย่างเด่นชัดนับแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา เป็นผลพวงอันเนื่องแต่รัฐประหาร 2 รัฐประหารต่อเนื่องกัน

เป็นปมเป็นประเด็นอันมีการกล่าวหา

นั่นก็คือ ปัญหาก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 นั่นก็คือ ปัญหาก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ความหวังก็คือ จะใช้ “รัฐประหาร” ในการแก้ปัญหาและความขัดแย้ง

ความเป็นจริงในทางการเมืองปัจจุบันพิสูจน์ทราบอย่างเด่นชัดแล้วว่า ปัญหาและความขัดแย้งเหมือนที่ดำรงอยู่ตั้งแต่เมื่อปี 2548 ก็ยังดำรงอยู่ไม่แปรเปลี่ยน

เพียงแต่เปลี่ยนจาก “ทักษิณ” มาเป็น “ธนาธร” เท่านั้นเอง

ปรากฏการณ์ทางการเมืองนับแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาเท่ากับเป็นการตอกย้ำและยืนยันให้รับรู้ร่วมกันว่า รัฐประหารมิได้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

คำถามก็คือ แล้วใครคือโจทย์ ใครคือปัญหาที่ถูกยกขึ้นมา

 

อำนาจการเมือง

ใหม่ปะทะกับเก่า

หากนับจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 สามารถโค่นล้มและทำลายอำนาจทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยลงได้ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกขจัดออกไป

แต่บารมีของนายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังมีเต็มเปี่ยมผ่านพรรคพลังประชาชน

หากนับจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 สามารถโค่นล้มและทำลายอำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยลงได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกขจัดออกไป

แต่บารมีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ผนวกเข้ากับของนายทักษิณ ชินวัตร

รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อำนาจทางการเมืองอาจอยู่ในความยึดครองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562

อำนาจยังอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อไป

แต่ก็ปรากฏพลังใหม่ผ่านชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่ ปรากฏตัวละครใหม่คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กระทั่งผู้กุมอำนาจรัฐจำต้องหาทางบดขยี้และทำลายเหมือนที่เคยทำในอดีต

แต่พลังใหม่นี้ก็ไม่ได้ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดเหมือนกับที่หวังตั้งไว้

 

เยาวชนปลดแอก

คณะราษฎร 2563

ต้องยอมรับว่าการปรากฏขึ้นของ “เยาวชนปลดแอก” คือตัวละครใหม่ในทางการเมือง เป็นตัวละครที่รับไม่ได้จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นภายในทศวรรษแห่งความมืดมน

ไม่ว่าจะกระทำต่อ “ไทยรักไทย” ไม่ว่าจะทำต่อ “อนาคตใหม่”

สัมผัสได้จากข้อเรียกร้องของพวกเขาที่ไม่เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตและข้องใจต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 อันเป็นกลไกแห่งอำนาจและการสืบทอดอำนาจ

หากแต่เขาได้ยกระดับข้อเรียกร้องอย่างชนิดที่ “ทะลุเพดาน”

แม้ว่าพวกเขาจะสะเทือนใจจากชะตากรรมทางการเมืองในยุคของนายทักษิณ ชินวัตร ในยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดจนที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประสบแทบไม่แตกต่างกัน

กระนั้น พวกเขาก็ได้ก้าวพ้นจากจุดที่ “เหยื่อ” เหล่านั้นเคยเรียกร้อง

รูปธรรมที่พวกเขาตั้งชื่อเป็น “คณะราษฎร 2563” สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการอันมีมากตั้งแต่เมื่อปี 2475 กระทั่งเมื่อปี 2516 และภายหลังสถานการณ์หลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540

กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองในอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสำคัญ

 

จากรุก เป็นตั้งรับ

โจทก์ เป็นจำเลย

เหมือนกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ทำให้สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นฝ่ายรุกในทางการเมือง รูปธรรมก็คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

เหมือนกับทำให้ดำรงอยู่ในสถานะเป็น “โจทก์” ในทางการเมือง

โดยที่สามารถรุกไล่และกล่าวหาไปยังตัวละครอื่นไม่ว่านายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่านายธนาธร จึงรุ่งเรือง ให้ดำรงอยู่ในสถานะเหมือนกับเป็น “จำเลย”

แต่เมื่อเข้าสู่สถานการณ์ในเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา

สถานะอันเคยรุกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็กลายเป็นตั้งรับ สถานะอันเคยเป็นโจทก์กล่าวหาผู้อื่นก็กลายเป็นจำเลยถูกกล่าวหาและตั้งข้อสังเกตจากสังคม

     กระทั่งต้องมีการตั้ง “คณะกรรมการสมานฉันท์” เพื่อสะสางปัญหาก่อนกลายเป็นวิกฤต