เครื่องเคียงข้างจอ /วัชระ แวววุฒินันท์/ลอยฮาโลวีน

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ลอยฮาโลวีน

 

สําหรับปีนี้เทศกาลสำคัญของสองซีกโลกคือตะวันออกและตะวันตกก็มาบรรจบลงในวันเดียวกันได้ นั่นคือเทศกาล “ลอยกระทง” ของไทย และเทศกาล “ฮัลโลวีน” ของฝรั่ง

คือตรงกับวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม

วันนั้นจึงฉลองได้สองเทศกาลไปพร้อมๆ กัน ลอยกระทงท่ามกลางพระจันทร์วันเพ็ญ พร้อมกับคอยทำท่าตกใจกับเหล่าคนแต่งตัวผีที่จะออกมาเพ่นพ่านกัน

สำหรับปีนี้ ผีที่น่าจะถูกใจมากที่สุดเห็นจะเป็น “ปีศาจมนุษย์หมาป่า” เพราะตามตำนานกล่าวว่า คนธรรมดาจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ก็นี่ไง วันนี้เลย วันเพ็ญเดือน 12 น้ำก็นองเต็มตลิ่ง ได้แปลงร่างกันสนุกแน่

ระวังอย่าให้เป็นหมาตกน้ำละกัน

 

สําหรับประวัติเรื่องราวของเทศกาลวันลอยกระทง ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานประเพณีหนึ่งของไทย เล่าตามประวัติศาสตร์ทางการที่มีการโต้แย้งกันอยู่ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยในยุคของพระร่วง ท้าวศรีจุฬาลักษณ์พระสนมเอกได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวบาน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการบูชาพระแม่คงคา ตามความเชื่อในลัทธิพราหมณ์

การบูชานี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณต่อสายน้ำที่มนุษย์อย่างเราๆ ได้ใช้ทั้งอุปโภคบริโภค ใช้ในการเกษตรและดำรงชีวิต และขอขมาที่ได้ทำล่วงเกินใดๆ กับแม่น้ำนี้

ประวัติอีกประการหนึ่งนั้น ทางศาสนาพุทธเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการทำพิธีเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จจากเทวโลกสู่โลกมนุษย์ ภายหลังจากทรงเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สำเร็จแล้ว

นี่ก็เป็นการบูชาความกตัญญูเช่นกัน เพราะพระพุทธองค์เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็นึกถึงพระคุณพระมารดาที่แม้จะไม่อยู่บนโลกแล้ว ก็ได้ตามขึ้นไปโปรดบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า

จะเห็นได้ว่าบรรพบุรุษของไทยได้ปลูกฝังเรื่อง “ความกตัญญู” มานานแล้ว รวมทั้งการเคารพผู้มีพระคุณ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่งดงามอย่างหนึ่งของไทย

จากนั้นเราก็ลอยมาเรื่อย ผ่านสมัยอยุธยามาจนยุครัตนโกสินทร์ก็ยังคงลอยกันอยู่ ยิ่งในปัจจุบันได้มีการหาประโยชน์จากเทศกาลนี้กันมากมาย โดยอาจจะลืมนึกถึงพระคุณของ “แม่น้ำลำธาร” ที่เป็นหัวใจหลักไป เพราะหลังจากนั้นบางคนก็เติมขยะใส่คลอง บางคนก็ไม่ช่วยกันดูแลแหล่งน้ำ สายน้ำ แถมยังเป็นตัวการทำน้ำเสียก็มี

 

ส่วนวันฮัลโลวีนนั้น มีที่มาที่ไปจากความเชื่อของศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก

Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีของภาษาได้ตัดต่อ Hallow + Eve มาเป็น Halloween คำว่า Hallow แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์

วันสำคัญทางศาสนาคริสต์อีกวันหนึ่งที่เรารู้จักกันดีคือ “วันคริสต์มาส” วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสเราจะเรียกว่า Christmas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส

วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาสนั่นเอง

แล้วมันเกี่ยวกับผีๆ ยังไงน่ะเหรอ

 

วันฮัลโลวีนของทุกปีจะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลต์ (Celt) ชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ซึ่งวันปีใหม่นั้นจะตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย (เริ่มใกล้ผีแล้วเห็นไหม) ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเซลต์ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมาคือวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ที่ว่า

ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้เอง ที่ชาวเซลต์เชื่อว่าเป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โอ้โฮ เหมือนพล็อตหนังผีสยองขวัญเลยทีเดียว

พอผีออกอาละวาด ก็เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเซลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป

ทำไมผีจริงช่างเชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนี้นะ ที่เขาว่าคนร้ายกว่าผีก็เห็นจะจริงตามนั้น

 

ประเพณีที่มากับวันฮัลโลวีนนี้ก็คือ “ทริก ออร์ ทรีต” (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่าวันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวัน “All Souls” พวกเขาจะเดินร้องขอ “ขนมสำหรับวิญญาณ” (soul Cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น

เป็นความเชื่อที่เหมือนกับการตักบาตรแผ่ส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายในศาสนาพุทธเลย

พวกเด็กๆ จะสนุกกับกิจกรรมนี้มาก พากันแต่งตัวแฟนซี เป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า “Trick or Treat?”

เจ้าของบ้านมีสิทธิ์ที่จะตอบ Treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี (เด็ก) เหล่านั้น ราวกับว่า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ Trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ พอสนุก ไม่ต้องถึงขั้นต้องฉีดน้ำไล่แต่อย่างใด แล้วอาจจบลงด้วยการ Treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด

น่ารักดี

 

จากประวัติ วกกลับมาที่วันที่ 31 ตุลาคมปีนี้ของไทยกันต่อ ที่มีสองเทศกาลมาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย สะท้อนให้เห็นว่าความแตกต่างก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ หากเราเปิดใจต้อนรับกัน

วันนี้จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยได้ช่วยกัน “ลอยผีร้าย” ให้ออกไปจากประเทศไทยกันหน่อย

ผีร้ายที่ว่าคือผีตนใดหรือ จึงร้ายนักจนทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ในขณะนี้

ก็คงมีอยู่หลายผีเลยละ นับแต่ “ผีดิบ” ที่ว่ากันว่าเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย ก็คือ “ผีแห่งการเสพอำนาจ” ที่ดูเหมือนยาเสพติดที่ใครไม่ว่าจะนักการเมือง หรือผู้ปฏิวัติรัฐประหาร พอได้มีอำนาจแล้วจะยึดติด หวงแหน และครอบครอง เหมือนเป็นสมบัติส่วนตัวยังไงยังงั้น

ศาสนาพุทธก็สอนว่าอย่ายึดติด แต่โยมๆ ทั้งหลาย ติดแน่นเป็นกาวตราช้างกันเลย อาตมาก็จนใจ

หรืออาจจะเป็น “ผีกระสือ” ที่ล่องลอยหากินของเน่าๆ ทั้งหลาย ก็คือ “ผีคอร์รัปชั่น” นั่นเอง ผีตนนี้เฮี้ยนจัด ปราบเท่าไรก็ไม่หมดสักที แถมแตกตัวเป็นอะมีบาสูบเลือดเนื้อเป็นทอดๆ อีก

หรือจะเป็น “ผีเปรต” ที่ได้รับผลกรรมจากการทำร้ายบุพการีผู้มีพระคุณ เป็นผีที่ไม่รู้จักสำนึกในความดีงามของผู้เป็นพ่อ-แม่ หรือผู้ชุบเลี้ยงเราให้เติบใหญ่ได้ดี แถมยังทุบตีทำร้ายอีก

หรือเป็น “ผีห่า” ที่ครอบคลุมบ้านเมืองให้เกิดการแตกแยก ไม่สามัคคีกัน ไม่เห็นความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นคนไทยด้วยกัน ที่แม้จะคิดต่างก็สามารถอยู่ร่วมกันได้

เอาละ ไม่ว่าจะเป็นผีอะไร ก็ขอให้กระทงใบน้อยช่วยลำเลียงเอาวิญญาณร้ายเหล่านี้ให้หลุดพ้นออกอ่าวไทยไปไกลๆ เลยยิ่งดี

ส่วนความวุ่นวายทางการเมืองยามนี้ ที่เหมือนเด็กๆ จะลุกขึ้นมาแต่งตัวผีแล้วไปเคาะประตูทำเนียบ เอ๊ย เคาะประตูบ้าน ก็ต้องดูว่าผู้ใหญ่ในบ้านจะ “ทริก ออร์ ทรีต” ดี

ลุ้นระทึกยิ่งกว่าหนังสยองขวัญใดๆ เชียว