คำ ผกา | อย่าดูเบาความเบ๊อะบ๊ะ

คำ ผกา

คงต้องยอมรับว่า ณ ขณะนี้สังคมไทยยังไม่ไปถึงจุดที่คนทั้งสังคมมีฉันทามติร่วมกันว่า “เราต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างไม่มีเงื่อนไข”

และห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ที่เกิดกระบวนการเรียกร้องหาฉันทามติร่วมว่า เราจะเป็นประชาธิปไตยกันได้หรือยัง?

และเมื่อออกมาเรียกร้องอย่างจริงจัง ก็ทำให้มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง และดูเหมือนจะมีจำนวนไม่น้อย พากันออกมาตะโกนเสียงดังมากว่า “ไม่ เราไม่ต้องการประชาธิปไตย”

กลุ่มต้องการประชาธิปไตยนั้นเข้าใจไม่ยากเลย ใครๆ ในโลกนี้ก็อยากอยู่ในสังคมประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยทำให้คนเป็นคน

ในทางการเมืองแล้วประชาธิปไตยทำให้มนุษย์ทุกคนมีอำนาจในฐานะเข้าประเทศ ไม่ต้องเป็นข้าเป็นทาส ไม่มีใครมาเป็นเจ้าชีวิต ประชาชนเป็นเจ้าของชีวิตของตนเอง

เพียงแค่นี้สำหรับเราที่อยากเป็นคนเต็มคน เราก็เข้าใจไม่ได้เลยว่าทำไมมีคนจำนวนมากไม่อยากเป็นคน

ทำไมถึงชอบอยากมอบชีวิตของตัวเองให้กับคนอื่น

ทำไมถึงไม่อยากมีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมประชาธิปไตย

ส่วนในกลุ่มของฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยนั้น มีความหลากหลายอยู่มาก และน่าจะจำแนกได้

ดังนี้

ก.กลุ่มคนที่ไม่เชื่อในประชาธิปไตยอย่างบริสุทธิ์ใจ คนเหล่านี้สมาทานจักรวาลวิทยาว่าด้วยคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน โดยอิงกับกรอบคิดทางศาสนา เชื่อว่าชาติกำเนิด หรือบุญวาสนาของมนุษย์นั้นถูกกำหนดมาจากบุญกรรมที่ทำมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว และเชื่อว่าการได้ใกล้ชิด หรือได้สัมผัสแม้เพียงสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีบุญ เช่น ปลายเท้า ย่อมถือเป็นสิริมงคล

เช่น เราจะเห็นคนไทยนำผ้าไปให้เกจิอาจารย์เดินเหยียบ จากนั้นเราก็นำผ้าที่ถูกเหยียบนั้นมากราบไหว้บูชา ถือเป็นสิริมงคล

ในสังคมไทยยังมีการปฏิบัติเช่นนี้อยู่อย่างปกติ จึงง่ายมากที่จะทำให้คนจำนวนไม่น้อย ไม่อาจเชื่อในหลักการคนเท่ากันของแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยได้ คนเหล่านี้เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าการได้น้อม ทอดกายลงราบกับพื้นดิน หรือการถูก “เหยียบย่ำ” โดยผู้มีบุญนั้นเป็น “บุญ” อย่างหนึ่ง เป็นบุญอย่างที่เปรียบไม่ได้ และผลบุญนี้จะส่งให้ชีวิตในชาติหน้าของพวกเขาดีขึ้น

เมื่อมีฐานคติความเชื่อเช่นนี้จึงไม่ยากที่โลกทัศน์ทางการเมืองของคนเหล่านี้เป็นคนละชุดกับโลกทัศน์ทางการเมืองสมัยใหม่ที่เชื่อว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ และเจ้าของประเทศ

คนเหล่านี้เชื่อว่า อาณาจักรนั้นล้วนแต่เป็นขอบขัณฑสีมา ประเทศชาติเป็นวีรบรรพชนผู้มีบุญผู้ถูกกำหนดมาโดยบุญ บารมี ชาติกำเนิดให้เป็น “ชนชั้นปกครอง” วีรบรรพชนต้องฝ่าฟันขวากหนาม อุปสรรค ต่อสู้กับข้าศึกศัตรูเพื่อปกป้องบ้านเมืองเอาไว้

ดังนั้น หน้าที่ของเราคือ ภักดีและทดแทนบุญคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และหนึ่งในการทดแทนบุญคุณนั้นคือ คอยเป็นหูเป็นตาอย่าให้ใครมาทำร้ายสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์นี้ และหากเป็นไปได้พึงปกป้องด้วยชีวิตของเรา

ดังนั้น ในคลิปที่เราเห็นคนไทยจำนวนหนึ่ง หรือคลิปบางคลิปของคนบางคนที่มีความ passionate อย่างรุนแรง เช่น คนที่อยากฆ่า อยากตบ อยากทำร้ายคนที่บังอาจมาเรียกร้องเรื่องคนเท่ากัน หรือเรียกร้องประชาธิปไตย จึงเป็น passion ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยจักรวาลทัศน์ดังที่ฉันบรรยายเอาไว้

ในสายตาของเราอาจมองว่าพวกเขาเหมือนคนบ้า

แต่ในสายตาของพวกเขา ที่มองมายังมวลชนที่ออกไปเรียกร้องประชาธิปไตย เขาก็คงเห็นเราเหมือนสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่ง และอันตรายด้วยเหมือนกัน

ความน่ากลัวของคนกลุ่มนี้คือ พวกเขาเชื่อจริง ศรัทธาจริง และเชื่อว่าตนเองกำลังทำในสิ่งที่ “บุญ” เป็น “คุณงามความดี”

ทีนี้คนเราเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศล ความน่ากลัวคือ เขาจะคิดว่าตนเองมีความชอบธรรมที่ “ฆ่า” สิ่งที่เป็นอกุศล มีความเป็นกองทัพธรรม ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ฆ่าพวกชังชาติ คือการปกป้องชาติบ้านเมือง

ยิ่งออกมาแสดงออกให้เกรี้ยวกราดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแปลว่า การทำบุญกุศลนั้นก็จะเข้มข้นขึ้นตาม

ยิ่งดูเหมือนคน ก็ยิ่งดูว่าได้สละชีพ และสติสัมปชัญญะให้กับบ้านเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธ์แล้ว

คนเหล่านี้เชื่อจริง รักจริง อินจริงๆ สมาทานโลกทัศน์จักรวาลแบบนี้จริง เหมือนคนเชื่อว่าโลกแบน ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนเขาได้ และพร้อมตายจริงเพื่อพิทักษ์ความศรัทธาของพวกเขา

และฉันเชื่อว่าในสังคมไทยยังมีคนไทยแบบนี้อยู่ในจำนวนที่ไม่ควรดูเบา

ข.ศาสดาหรือผู้นำทางความคิดของคนกลุ่ม ก. ศาสดาของคนกลุ่ม ก. มีทั้งศาสดาที่มีความเชื่อเป็นเนื้อเดียวกันกับคนกลุ่ม ก. ศาสดาเหล่านี้มีตั้งแต่นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ไปจนถึงหมอดู คนทรงเจ้า พระเกจิอาจารย์ นักเล่าเรื่องในอดีต นักข่าว นักวิชาการ อดีตนักเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมือง หรือแม้กระทั่งรายการบันเทิงประเภท คนส่องผีส่องวิญญาณ แม่ชีระลึกชาติ ย้อนเล่าอดีต ฯลฯ

คนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นศาสดา เป็นผู้เผยแพร่ถ้อยคำ ความเชื่อ เรื่องเล่า เพื่อหล่อเลี้ยงจักรวาลวิทยาทางการเมืองของเหล่าคนกลุ่ม ก. ให้มลังเมลือง มีชีวิตชีวา และมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ไม่คลอนแคลนแม้นถูกท้าทายจากองค์ความรู้ใหม่ๆ หรือหลักฐานใหม่

ศาสดาอีกจำพวกหนึ่งเป็นศาสดาที่รู้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นั้นล้วนเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา

แต่ก็ยินดีเป็นศาสดาในแนวทางนี้ เพราะสมประโยชน์มากกว่า ทำงานง่ายกว่า ปลอดภัยกว่า อิ่มหมีพีมันกว่า

ค.ปัญญาชนฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย สำหรับฉัน คนกลุ่มนี้ลึกซึ้งทั้งน่ากลัวและน่าขยะแขยงที่สุด

บุคลิกร่วมของปัญญาชนฝ่าย “ต่อต้านประชาธิปไตย” คือ บุคลิกของกลุ่มบุคคล ปัญญาชนที่พูดอยู่เสมอว่า “สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย”

คนเหล่านี้มีทั้งนักคิด นักเขียน ปัญญาชน นักเคลื่อนไหวทางสังคม นักสันติวิธี เราแยกคนเหล่านี้ออกจากปัญญาชนที่สนับสนุนประชาธิปไตยตัวจริงเสียงจริงได้ยากมาก เพราะบ่อยครั้งที่คนเหล่านี้ก็ได้รับการยกย่อง เชิดชูจากฝ่ายผู้เรียกร้องประชาธิปไตย!

หรือบ่อยครั้งที่คนเหล่านี้ได้รับเชิญไปพูด ไปเสวนา ไปให้ความเห็นหาทางออกให้กับประเทศบนเวทีของนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากคนเหล่านี้อำพรางตัวได้แนบเนียนและมีวาทศิลป์ ตีกิน ปากหวานกับฝ่ายประชาธิปไตย

แต่โดยเนื้อแท้แล้วสังวาสหาผลประโยชน์กับอีลิตฝั่งต่อต้านประชาธิปไตยอยู่เสมอมา

เวลาคนเหล่านี้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้กำลังสลายการชุมนุมของรัฐ ก็มักจะบอกว่า

“รัฐทำตามตำรามากเกินไป ส่วนผู้ชุมนุมต้องเคร่งครัดให้มากกว่านี้”

ปัญญาชนกลุ่มนี้ มักจะพยายามเขียนอะไรออกมาน้ำท่วมทุ่ง เช่น ไม่เห็นด้วยเลยที่รัฐใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม เห็นด้วยว่าข้อเสนอในม็อบของประชาชนต้องถูกรับฟัง เห็นด้วยว่า ความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากรัฐฉลาด รัฐต้องปรับตัว – เอ๊ะ ฟังดูดี – จากนั้นก็ร่ายยาวว่าด้วยความฉลาด หลักปหลม อัจริยะภาพในการปรับตัวตลอดมาในอดีตของสังคมไทย และชนชั้นนำไทย ว่า ว้าว มันช่างน่าตื่นเต้นเสียเหลือเกิน

ปัญญาชนจอมปลอมพวกนี้ก็จะเลี้ยวเข้าสู่โวหารแห่งการเป็น “องค์ประกา-ศก” ผู้ป่าวประกาศความจริงแก่ผู้ที่ยังโง่เขลาทั้งหลายว่า ดูกร คนรุ่นใหม่ เรื่องพวกนี้ล้วนแต่ธรรมดาสามัญ สิ่งที่พวกคุณเรียกร้องและเห็นว่าเป็นปัญหาคอขาดบาดตายนั้น อันที่จริงแล้ว มันเป็นธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของโลกใบนี้ จะตื่นเต้นอะไรนักหนา สิ่งที่พวกยูพูดเนี่ยะ โคตรเก่าเล้ยยยยยย – เลี้ยวไปดิสเครดิตคนรุ่นใหม่เสร็จ ก็วกไปอวยชนชั้นนำ ด้วยการทำมาเป็นพูดว่า ปรับตัวเถอะ

แต่ถ้าเราฟังดีๆ การทำมาเป็นพูดว่าชนชั้นนำต้องปรับตัวนั้นซ่อนความเท็จไว้หลายชั้น

หนึ่ง แสร้งพูดว่าให้ชนชั้นนำปรับตัวและเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ เพื่อปักธงให้คนเข้าใจผิดตนเองอยู่ฝั่งประชาธิปไตย และเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยดี (ก็คงเข้าใจดีแหละ แต่ได้ประโยชน์จากความไม่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า)

สอง ตัวอย่างของการปรับตัวของชนชั้นนำในอดีตที่ยกมานั้นเป็นการปรับตัวเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำเอง ไม่ใช่ปรับตัวเพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย หรือเพื่อนำไปสู่จุดที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ หลายครั้งการปรับตัวเป็นการเอาตัวรอดในยุคแห่งการล่าอาณานิคมซึ่งเป็นการเอาตัวรอดในฐานะเจ้าอาณานิคมด้วยกันเอง

สาม แก่นสารทั้งหมดที่พล่ามท่วมทุ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่ตรงกันข้ามกับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมในจุดที่สำคัญที่สุดคือ ประชาธิปไตยและคนเท่ากันจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการผ่าตัดโครงสร้างการเมืองไทยและจัดวางตำแหน่งที่ทางอำนาจกันใหม่ในโครงของอุดมการณ์ประชาธิปไตย

เราจะเห็นว่าฝ่าย “ต่อต้านประชาธิปไตย” นั้นมีหลายโฉมหน้า และพวกเขาสอดประสานทำงานเคลื่อนไหวกันอย่างไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่นับการใช้กลไกรัฐ กฎหมาย คนที่ถูกเกณฑ์มาแสดงพลังสนับสนุนรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยมีทั้งกลุ่มที่เป็นโดยเนื้อแท้ และกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเสริมพลังให้กลุ่มเนื้อแท้ไม่อ้างว้าง

ในกลุ่มจัดตั้งยัง diversified กลุ่มเพื่อเอาใจมวลชนฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยที่อยู่อย่างหลากหลาย

ตั้งแต่กลุ่มฮาร์ดคอร์แบบคชโยธี หมอวรงค์ หมอเหรียญทอง กลุ่มข้อมูลที่พยายามผลิตงานสไตล์ทีดีอาร์ไอของฝ่ายขวา กลุ่มผลิตเฟกนิวส์เป็นภาษาอังกฤษ เขียนข่าวให้ดูเหมือนสำนักข่าวต่างประเทศ หลอกคนชั้นกลางที่พอจะมีการศึกษา แต่คิดว่าตัวเองการศึกษาสูง ไปจนถึงกลุ่มปัญญาชนฝั่งต่อต้านประชาธิปไตยที่ได้รับการยอมรับจากฝั่งเรียกร้องประชาธิปไตย

ขั้นนี้ สำหรับฉันคือวิทยายุทธ์ขั้นสูงสุดของฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย หรือฝ่าย “ขวา” ในบริบทไทย ที่ทรงพลังสุดๆ

ทุกพลังสอดประสานกันอย่างเป็นกระบวน

ความผิดพลาดเดียวที่น่าจะเป็นความผิดพลาดที่รุนแรงมากของฝ่ายประชาธิปไตยคือการที่คิดว่า

“เขาไม่รู้อะไร”