ผ่าคดี “ชัยภูมิ ป่าแส” หลังคำพิพากษายกฟ้องกองทัพไม่ผิดปมยิง ญาติข้องใจปมวงจรปิด

เปิดคำพิพากษายกฟ้อง ทบ.ไม่ผิด-ยิงหนุ่มลาหู่ เชื่อพัวพันค้ายาเสพติด ญาติข้องใจปมวงจรปิด

เป็นอีก 1 คดีที่ยังรอคอยความยุติธรรม

สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารสังหารโหดนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนชาวลาหู่ อายุ 17 ปี เสียชีวิตที่ด่านบ้านรินหลวง จ.เชียงใหม่ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

โดยอ้างว่าจากการตรวจค้นรถยนต์ที่นายชัยภูมิกับเพื่อนเดินทางมา พบยาเสพติดจำนวนมาก

ขณะที่นายชัยภูมิเองพยายามหลบหนีและปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหาร จึงต้องยิงเพื่อป้องกันตัว

สวนทางกับภาพนิ่งที่นายชัยภูมิยืนให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถอย่างสงบ

ที่สำคัญ หลังเกิดเหตุเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล กล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์กลับอันตรธานไป

ทั้งที่หลังเกิดเหตุ ผบ.ทบ.และแม่ทัพภาคที่ 3 ระบุว่าได้ดูวงจรปิดทั้งหมดแล้ว!!

ขณะที่คดีฆาตกรรมยังไม่สิ้นสุด คดีละเมิดที่ครอบครัวชัยภูมิยื่นฟ้องกองทัพบกในคดีละเมิดก็มาถึงบทสรุป

เมื่อศาลแพ่งพิพากษายกฟ้อง ระบุกองทัพบกไม่ต้องชดใช้ เพราะสงสัยว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องยาเสพติดจริง

มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การระบุถึงวงจรปิดในเหตุการณ์ว่าไม่เคยมีการบันทึก ไม่มีการลบ ซึ่งสวนทางกับที่ ผบ.ทบ.และแม่ทัพภาคที่ 3 ขณะนั้นให้ข้อมูล

เป็นข้อขัดแย้งที่น่าสนใจ และควรขยายผลให้ความจริงปรากฏ

ยกฟ้องทหาร-เชื่อ “ชัยภูมิ” ค้ายา

วันที่ 26 ตุลาคม ที่ห้องพิจารณา 503 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ พ 2591/2562 ที่นางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนชาติพันธุ์ลาหู่ เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลย ให้ชดใช้ทางละเมิด

กรณีเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองทัพบกวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ที่บริเวณด่านบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ซึ่งนายชัยภูมิกับเพื่อน 1 คน ขับรถยนต์ผ่านด่านตรวจบ้านรินหลวง ถูกเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจค้นยานพาหนะ ใช้อาวุธปืนยิงนายชัยภูมิจนเสียชีวิต โดยระบุกระทำไปเพื่อป้องกันตนเอง

โดยศาลอ่านคำพิพากษา พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์-จำเลยแล้ว เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหาร 3 นาย เป็นผู้ได้รับมอบหมายปฏิบัติหน้าที่ ก่อเหตุยิงนายชัยภูมิผู้ตายเสียชีวิต

ขณะที่พลทหารพยานจำเลยเบิกความขณะเกิดเหตุตรวจค้นรถยนต์ผู้ตาย เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศพบยาบ้า 2,800 เม็ด นอกจากนี้ ยังสอบสวนพยานจำเลย ซึ่งเป็นเพื่อนนายชัยภูมิ ให้การว่า มีความสงสัยเรื่องเงินที่นำมาซื้อรถยนต์ของนายชัยภูมิ ขณะตรวจค้น นายชัยภูมิไม่ยอมให้เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศ ทำให้พยานเชื่อว่านายชัยภูมิน่าจะรู้เรื่องยาเสพติด

พิเคราะห์ว่าแม้เป็นพยานบอกเล่า แต่เป็นพยานสำคัญที่เป็นเพื่อนนักเรียน ไม่มีเหตุระแวงสงสัย ให้การกับพนักงานสอบสวน เชื่อว่าให้การตามจริง

ส่วนพยานจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่แจ้งพบบัญชีผู้ตายมีการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงเรื่องยาเสพติด บันทึกการโทรศัพท์เกี่ยวกับผู้ต้องหาคดียาเสพติดอีกคดี มีการติดต่อกันหลายครั้ง

มีพยานหลักฐานฟังได้ว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ซุกซ่อนในไส้กรองอากาศ

ส่วนประเด็นกล้องวงจรปิด พบมีกล้องวงจรปิดหลายตัวใช้งานได้ 9 ตัว เสีย 3 ตัว ไม่พบพิรุธการทำลายกล้องวงจรปิด แต่ไม่พบภาพบันทึกเหตุการณ์ ไม่พบมีการลบ และไม่พบจุดที่ตรวจค้น

จำเลยมีทหารเป็นประจักษ์พยาน กับนายพงศนัย แสงตะหล้า เพื่อนผู้ตาย ทำให้รับฟังทดแทนได้ ว่าผู้ตายรู้เห็นการซุกซ่อนยาเสพติด จึงต่อสู้หยิบมีดแล้วหลบหนี ทหารหยิบปืนเอ็ม 16 ยิงลงพื้นก่อน เมื่อวิ่งไล่ตาม ผู้ตายจะขว้างระเบิดใส่ ทหารจึงใช้เอ็ม 16 ยิงแขนซ้ายผู้ตาย

ขณะที่พยานโจทก์เป็นพยานบอกเล่า อยู่ห่างจุดเกิดเหตุ

พิจารณาจุดเกิดเหตุแล้วเป็นพื้นที่โล่ง เวลากลางวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการจัดฉากวางระเบิดใกล้มือผู้ตาย มีชาวบ้านเห็นนับร้อย การยิงแขนผู้ตายเพื่อหยุดการกระทำ ประจักษ์พยานไม่พบพิรุธสงสัย

โจทก์ทำหน้าที่ติดตามคนร้ายหลบหนีการจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติด ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนพื้นที่เสี่ยงสูง อาจต้องใช้อาวุธในการต่อสู้ป้องกันและปะทะกับขบวนการค้ายาเสพติด ข้อเท็จจริงผู้ตายวิ่งหลบหนีและจะใช้ระเบิดขว้างใส่พลทหาร การที่พลทหารยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ การปฏิบัติหน้าที่ของพลทหารไม่ละเมิดโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

พิพากษายกฟ้อง

คาใจ-ศาลชี้ไม่เคยมีวงจรปิด

หลังฟังคำพิพากษา นางนาปอย มารดาผู้ตายในฐานะโจทก์ เผยว่า รู้สึกเสียใจกับคำพิพากษา และต้องการที่จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป

ขณะที่นายรัษฎา มนูรัษฎา ทีมทนายความโจทก์ ให้สัมภาษณ์ว่า คดีมีรายละเอียดหลายประเด็น เคารพแต่ไม่เห็นพ้อง จะขออุทธรณ์คดีภายใน 1 เดือน

โดยประเด็นเจ้าหน้าที่ทหารใช้ปืนยิงนายชัยภูมิเพราะอ้างมีระเบิดนั้น เป็นประเด็นที่สู้มาตลอด

พร้อมระบุว่า ประเด็นที่ศาลหยิบยกคำให้การชั้นสอบสวนของนายพงศนัย แสงตะหล้า ที่นั่งรถมาด้วยวันเกิดเหตุ 17 มีนาคม 2560 แต่ให้การหลังเกิดเหตุสิ้นเดือนมีนาคม ถ้ามาด้วยกันกับผู้ตายและมียาเสพติด ทำไมนายพงศนัยไม่ถูกดำเนินคดี

ส่วนประเด็นเชื่อมโยงคดียาเสพติดคดีอื่นนั้น เราไม่รู้รายละเอียด ต้องดูรายละเอียดในการอุทธรณ์คดีต่อไป ทางญาติติดใจ และภาพวงจรปิดที่จะบอกได้ว่าเหตุเกิดอย่างไรไม่ปรากฏ ก็เป็นปัญหา

นายไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่ ในฐานะผู้ดูแลนายชัยภูมิ เปิดเผยถึงความรู้สึกว่า ช็อก ไม่รู้จะอย่างไร ตนไม่กล้าก้าวก่ายคำตัดสินศาล ประเด็นกล้องวงจรปิดไม่ถูกเปิดเผย บอกไม่ถูกบันทึก ไม่มีข้อมูลในการลบก็จบแล้วหรือ หากกล้องไม่เสียทำไมไม่ถูกบันทึก สุดท้ายผลออกมาขัดกับความรู้สึก คุยกันแล้วเราสามารถยื่นอุทธรณ์สู้ได้ เชื่อมั่นในระบบก็เดินให้สุดทาง

ขณะที่ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเรื่องวงจรปิดที่ศาลระบุว่าไม่ถูกเปิดเผย บอกไม่ถูกบันทึก ไม่มีข้อมูลในการลบ เนื่องจากในคดีไต่สวนการตาย ทนายความยื่นเรื่องกองทัพบกให้เปิดเผยภาพวงจรปิด แต่กองทัพบกระบุว่าไม่มีภาพ เนื่องจากถูกบันทึกทับไปแล้วตามกระบวนการอัดทับข้อมูลเดิม

และแม้จะร้องต่อศาลขอให้ออกหมายเรียก พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้นที่ให้สัมภาษณ์ว่าได้ดูวงจรปิดมาให้การ แต่ศาลระบุว่าไม่มีความจำเป็นเพราะเป็นแค่การไต่สวนการตาย

เท่ากับว่าผู้ที่เห็นภาพจากวงจรปิดนี้ที่ออกมายอมรับต่อสาธารณะก็คือ พล.ท.วิจักขฐ์ และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งขัดแย้งกับคำพิพากษา

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของอาวุธที่อ้างว่าใช้ต่อสู้ก็คือมีดและระเบิด ที่ไม่พบรอยนิ้วมือของชัยภูมิที่มีด และที่ระเบิดพบดีเอ็นเอบางส่วนของชัยภูมิ แต่ก็มีดีเอ็นเอของหลายคนปะปนอยู่ด้วย

จึงเป็นเรื่องที่คาใจรอการพิสูจน์

ย้อนนาทีจับตายหนุ่มลาหู่

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายของวันที่ 17 มีนาคม โดยข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 บก. ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ประจำจุดตรวจบ้านรินหลวง ตั้งจุดตรวจยาเสพติดบริเวณด่านทหารสามแยกรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกรถเก๋งฮอนด้าแจ๊ซ สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่เพื่อตรวจค้น

จนกระทั่งพบยาบ้า 2,800 เม็ดอยู่ในไส้กรองอากาศรถ จึงจับกุมนายพงศนัยซึ่งเป็นคนขับรถ โดยขณะนั้นนายชัยภูมิที่นั่งข้างคนขับ ชักมีดออกมา แล้ววิ่งหนีไปประมาณ 200-300 เมตร

เมื่อเจ้าหน้าที่วิ่งตามไปใกล้ถึงตัว ผู้ตายก็เงื้อระเบิดมือจะขว้างใส่ ทหารจึงยิงเอ็ม 16 เข้าใส่จนเสียชีวิต

หลังเหตุการณ์ทางญาติของนายชัยภูมิต่างพากันออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากนายชัยภูมิซึ่งเป็นนักกิจกรรมทางสังคม และไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

โดย พ.ต.อ.ชลเทพ ใหม่ไชย ผกก.สภ.นาหวายในขณะนั้นระบุว่า หลังจากเหตุจับตาย ผู้บังคับบัญชาของทหารที่เป็นคนยิงได้เข้ามอบตัวกับ ตร.สภ.ป่าหวายแล้ว ซึ่งได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือ ทำประวัติ แล้วปล่อยตัวชั่วคราว

ทั้งนี้ จากการสอบประวัติผู้ตาย ไม่พบเคยถูกจับกุมหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติดใดๆ

แต่ พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ อดีต ผบช.ภาค 5 ระบุว่า นายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแน่นอน เคยถูก จนท.ล่อซื้อ โอนเงินมัดจำเสร็จสรรพ แต่พอนัดส่งยา นายชัยภูมิหนีได้หวุดหวิด แถมยังโทรศัพท์ข่มขู่พยาน โดย ตร.กำลังจะขอหมายจับ แต่ก็ถูกทหารวิสามัญเสียก่อน

พร้อมระบุว่า รถแจ๊ซของนายชัยภูมิเป็นของเครือข่ายยาเสพติดที่กำลังหลบหนีคดี ทะเบียนที่ใช้ก็ของปลอม และพบเส้นทางการเงินเข้า-ออกมากผิดปกติ

แม้จะมีการชี้แจงว่าเงินที่เข้า-ออกนั้นเป็นเงินขายกาแฟ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ปักใจเชื่อ

ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกเฝ้าจับตาดูมานาน 3 ปี จนกระทั่งมีบทสรุปจากศาลไทย

ตัดสินคนยิงไม่ผิด และชัยภูมิพัวพันการค้ายา!??