ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
จุดเลี้ยว การเมืองไทย
จากสถานการณ์ 24 กันยายน
ถึงเหตุการณ์ 16 ตุลาคม
ตราบใดที่มีการมองข้ามบทบาทและความหมายของสถานการณ์เมื่อวันที่ 24 กันยายน กับสถานการณ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ตราบนั้นปัญหาอันเป็นวิกฤตในขณะนี้จะยังไม่จบ
เพราะโอกาสที่จะทำ “ความผิด” ซ้ำ มีแนวโน้มและความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่ง
สภาพการณ์อันปรากฏในห้วงแห่งการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 26 และวันที่ 27 ตุลาคม สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัด
เด่นชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้ตระหนักใน 2 สถานการณ์ข้างต้น
อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อมองเห็นสถานการณ์ในวันที่ 24 กันยายน กลับมองเห็นแต่ภาพอันปรากฏ ณ ศิริราชพยาบาลและขยายผลสะเทือนสูงจนเกินจริง
แต่มองไม่เห็นภาพวันที่ 24 กันยายน ณ ที่ประชุมรัฐสภา
อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อมองเห็นสถานการณ์ในวันที่ 16 ตุลาคม กลับมองเห็นแต่อาการแตกกระเจิงของผู้ชุมนุมเมื่อประสบเข้ากับน้ำผสมสารเคมีอันฉีดจากตำรวจ
แต่มองไม่เห็นภาพอันตามมาในวันที่ 17 ตุลาคม
กรณี 24 กันยายน
กับความแหลมคม
สถานการณ์อันเกิดขึ้นในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 กันยายน เมื่อมีข้อเสนอจากพรรคพลังประชารัฐให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการแทนที่จะลงมติรับหรือไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นั่นคือ การเปิดโปงตัวเองอย่างล่อนจ้อน
เป็นการเปิดโปงจากความจัดเจนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สะสมมาตั้งแต่หลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ท่ามกลางบทเพลง “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”
เป็นการเปิดโปงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในพลังที่มีอยู่ในมือของตนผ่าน 1 พรรคพลังประชารัฐ 1 จาก 250 ส.ว.ว่าจะสามารถทำอะไรก็ได้ในทางการเมือง
โดยไม่สนใจพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
ความมั่นใจเดียวกันนี้ ความจัดเจนเดียวกันนี้ เมื่อนำมาใช้อีกภายในกระบวนการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญวันที่ 26-27 ตุลาคม ยิ่งเท่ากับตอกย้ำ
ตอกย้ำว่ามิได้สรุปเป็น “บทเรียน”
กรณี 16 ตุลาคม
กับผลอันตามมา
สถานการณ์การสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน ย่านสยามสแควร์ เมื่อคืนวันที่ 16 ตุลาคม เป็นผลและความต่อเนื่องจาก 2 กรณีประสานเข้าด้วยกัน
1 กรณีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงใน กทม.
ขณะเดียวกัน 1 ความย่ามใจจากการที่สามารถเข้าไปไล่ต้อนและจับกุมแกนนำไม่ว่านายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ตลอดจน น.ส.ปภัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในเช้าวันที่ 15 ตุลาคม
จึงไม่ลังเลใจที่จะเผด็จศึกในตอนค่ำของวันที่ 16 ตุลาคม อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
นี่คือการประสานจุดได้เปรียบในทางกฎหมายโดยเฉพาะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง กับการลงมือปฏิบัติด้วยความรุนแรง
หวังจะสยบ กำราบให้เกิดความหวาดกลัว
แต่ผลอันตามในวันต่อมา ไม่ว่าจะเป็นที่ห้าแยกลาดพร้าว ไม่ว่าจะเป็นที่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็นแยกเกษตร บางเขน
เด่นชัดอย่างยิ่งว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงไม่มีความหมาย
จาก 24 กันยายน
ถึง 16 ตุลาคม
เด่นชัดอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในวันที่ 24 กันยายน สะท้อนให้เห็นด้านที่หลอกลวง การไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าจะเป็นหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ไม่ว่าจะเป็นหลังการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 แม้จะมีเสียงเรียกร้องกระทั่งกลายเป็นกระแสในทางสังคมเรื่องการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่
เป้าหมายก็คือ จะบริหารจัดการไปตามความจัดเจนของตน
เด่นชัดอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในวันที่ 16 ตุลาคม สะท้อนให้เห็นความเคยชินอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการใช้ “อำนาจพิเศษ”
เมื่อไม่มีมาตรา 44 ก็งัดเอาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงมาเป็นเครื่องมือ
จากสถานการณ์เมื่อวันที่ 24 กันยายน เมื่อประสานเข้ากับสถานการณ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ความเชื่อที่เคยมีต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็กลายเป็นความเพ้อฝัน
สัมผัสได้ในโฉมหน้าและความเป็นจริงอย่างแท้จริง
ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กับวลี นรกอยู่ที่คนอื่น
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์การประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 26-27 ตุลาคม โฉมหน้าของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งวางแบ ณ เบื้องหน้าประชาชน
ล่อนจ้อน เปล่าเปลือย
คำว่า “นรกอยู่ที่คนอื่น” อันเป็นนิยามลือชื่อของนักปรัชญาเอ็กซิสตองเชียลลิสม์ชาวฝรั่งเศสก็กระจ่างสว่างแก่ใจ
การเมืองไทยเข้าสู่วงจร “ทำไมฝนจึงตก เพราะกบมันร้อง ทำไมกบจึงร้อง”
นั่นก็คือ ตลอด 2 วันแห่งการอภิปราย ปัญหามิได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปัญหามิได้อยู่ที่รัฐบาล หากแต่อยู่ที่รัฐบาลในอดีต หากแต่อยู่ที่ฝ่ายค้าน หากแต่อยู่ที่เด็กๆ
นี่คือวิถีอันน่าเป็นห่วงที่สังคมไทยกำลังก้าวเดินไป