สุจิตต์ วงษ์เทศ : ลอยกระทง ‘บายศรี’ ศาสนาผี คลุมด้วยพุทธ, พราหมณ์

เครื่องเซ่นขอขมาผีน้ำผีดินใส่ภาชนะทำจากใบตอง เหมือนเครื่องบายศรี ภาพสลักบนผนังระเบียงนอกสุดด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทบายนในกัมพูชา (ลายเส้นคัดลอกจากภาพถ่ายโดย ธัชชัย ยอดพิชัย พ.ศ.2548)

สุจิตต์ วงษ์เทศ

ลอยกระทง ‘บายศรี’

ศาสนาผี คลุมด้วยพุทธ, พราหมณ์

 

ลอยกระทงมีรากเหง้าจากพิธีกรรมในศาสนาผี เพื่อขอขมาผีน้ำผีดินประจำปีช่วง “สิ้นฤดูกาลเก่า ขึ้นฤดูกาลใหม่” (สมัยโบราณมีกลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12) โดยจัดเครื่องเซ่นใส่ภาชนะลอยไปกับน้ำไหลไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว

ครั้นสมัยหลังปรับเข้ากับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ลอยกระทงเลยเป็นพิธีกรรมของศาสนาไทย ผี, พุทธ, พราหมณ์

ภาชนะใส่เครื่องเซ่นผีมีพัฒนาการจากกระบาน เป็นบายศรี ถึงกระทงใบตอง ดังนี้

กระบานผี หรือกระทงกาบกล้วยรูปสี่เหลี่ยม ใบตองรองพื้นแล้วมีห้องกั้นเล็กๆ สำหรับใส่เครื่องเซ่นผี ได้แก่ ข้าวขาว, ข้าวดำ, ข้าวแดง ฯลฯ ที่สำคัญคือปั้นดินเหนียวรูปคนและสัตว์ เช่น วัว, ควาย ที่มีในเรือนเป็นตัวแทนของครอบครัวนั้นๆ

 

1.กระบาน

ภาชนะลอยน้ำใส่เครื่องเซ่นเรียก กระบาน ทำจากกาบกล้วยแล้วจัดวางบนกระบอกไผ่ หรือต้นกล้วยทอนเป็นท่อนให้ลอยน้ำ

กระบาน (สะกดด้วย น. หนู) หมายถึงภาชนะใส่เครื่องเซ่นผีคล้ายกระทง, กระบะ ฯลฯ ทำจากกาบกล้วยพับหักมุมเป็นสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยมก็ได้ โดยใช้ไม้ตอกเส้นเสียบขัดแน่นเป็นตารางยึดติดกัน แล้วปูด้วยใบตองรองรับเครื่องเซ่นสังเวยใส่ตามช่องตารางในกระบาน

(คนละอย่างจากคำว่า “กระบาล” สะกดด้วย ล.ลิง มาจากภาษาเขมร แปลว่า หัวกะโหลก)

 

2.บายศรี

กระบานถูกปรับเปลี่ยนเป็นบายศรีใบตอง จัดวางบนภาชนะลอยน้ำ พบหลักฐานเก่าสุดที่ปราสาทบายน ราว พ.ศ.1750 ในนครธม กัมพูชา แต่ไม่พบอย่างนี้ในกรุงศรีอยุธยา

ขอขมาผีน้ำผีดินสมัยอยุธยา มีลอยโคม พบหลักฐานมากมายทั้งเอกสารไทยและต่างประเทศ เช่น เอกสารฝรั่งเศส, เอกสารลังกา เป็นต้น

คำให้การขุนหลวงหาวัด เป็นเอกสารแปลจากภาษามอญเป็นภาษาไทย (สมัย ร.4) กล่าวถึงพระเจ้าเอกทัศ (ก่อนกรุงแตก) ทรงขอขมาผีน้ำผีดินตามประเพณี มีข้อสังเกต ดังนี้

  1. ระบุช่วงเวลา “เพ็ญเดือน 11” หมายถึง กลางเดือน 11 (กันยายน-ตุลาคม) สมัยโบราณประเพณีขอขมาฯ กำหนดกว้างไว้ตั้งแต่กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12
  2. ระบุ “กระทงกระดาด” และ “ลอยกระทง” เป็นสำนวนแปลสมัย ร.4 หลังมีลอยกระทงใบตองแล้ว (สมัย ร.3) ต้นฉบับเดิมเป็นภาษามอญ (เอกสารได้จากพม่า) เข้าใจว่าผู้แปลเอาคำว่า “กระทง” สมัย ร.4 ใส่ลงไป

สมัยอยุธยา เรียกภาชนะลอยน้ำขอขมาผีน้ำผีดินว่าโคมกระดาษ ซึ่งได้แบบจากโคมจีน และ “ลอยโคม” ขอขมาผีน้ำผีดิน (ยังติดมาถึงสมัย ร.3 มีบอกในหนังสือเรื่องนางนพมาศ)

 

3.กระทงใบตอง

เครื่องบายศรีถูกปรับเป็นกระทงใบตองลอยน้ำ แล้วเรียกประเพณีลอยกระทง เริ่มเป็นทางการสมัย ร.3 [กระทง หมายถึง ภาชนะใส่สิ่งของเย็บด้วยใบตองหรือกาบกล้วย ต่อมาอาจทำด้วยวัสดุอื่นๆ (เช่น กระดาษ เป็นต้น)]

กระทงได้ต้นแบบทำจากใบตองใส่เครื่องเซ่นใช้ลอยน้ำเรียก “ลอยกระทง” จาก “บายศรีใบตอง” (ตามประเพณีสืบเนื่องนับพันปีมาแล้ว) แต่แพร่หลายเป็นทางการสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นราวแผ่นดิน ร.3 พยานเอกสารชุดสำคัญมี 2 เรื่อง ได้แก่

(1.) เรื่องนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (2.) นิราศเดือน ของ นายมี หรือ หมื่นพรหมสมพัตสร มีกลอนว่า “เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง”

บายศรีจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง “ฮูปแต้ม” ในสิมวัดต่างๆ ทางภาคอีสาน (ภาพจากหนังสือ สู่ขวัญ : คน สัตว์ พืช และสรรพสิ่งในเอกสารใบลานอีสาน สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2558)

 

บายศรี คือข้าวขวัญ

บายศรีเป็นประเพณีพิธีกรรมในศาสนาผี ชื่อบายศรีเป็นภาษาเขมร หมายถึงข้าวสุกแม่ข้าวเซ่นสังเวยผีฟ้าผีแถนโดยใส่กระทงหรือกระบาน ต่อมาภาชนะถูกให้ความสำคัญเหนือข้าวสุกโดยปรับเปลี่ยนเป็นเครื่องใบตองเลียนแบบเครื่องสูงในพระราชพิธี หลังจากนั้นสร้างสรรค์เป็นรูปลักษณ์หลากหลายไกลออกไปจากข้าวสุกแม่ข้าวจนเกือบไม่เหลือความหมายเดิม

กระทงหรือกระบานทำจากใบตองและกาบกล้วยเพื่อใส่ข้าวสุกแม่ข้าวหรือข้าวขวัญเซ่นสังเวยผีฟ้าพญาแถน ถูกทำให้วิจิตรพิสดารขึ้นตามสภาพสังคมและเศรษฐกิจ-การเมืองหลังรับวัฒนธรรมอินเดีย

บายศรีปัจจุบัน หมายถึงเครื่องเชิญขวัญทรงสูงทำด้วยใบตอง รูปคล้ายกระทงซ้อนสูงขึ้นเป็นชั้นๆ เรียงจากใหญ่ขึ้นไปหาเล็กตามลำดับ โดยมีต่างกันหลายแบบ เช่น บายศรีใหญ่, บายศรีปากชาม เป็นต้น แต่มักเรียก “ใบศรี” ซึ่งเป็นปกติการกลายเสียงจาก “บาย” เป็น “ใบ” แต่ก็อาจสืบเนื่องความเข้าใจเปลี่ยนจากข้าวสุกเป็นใบตอง พบกลอนพรรณนาในเพลงยาวรำพันพิลาปของสุนทรภู่ แสดงความเปรียบว่าตนตกยากเหมือนใบศรีเสร็จงานก็เป็นแค่ใบตองทิ้งลงน้ำ

 

เหมือนใบศรีมีงานท่านถนอม       เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา

พอเสร็จการท่านเอาลงทิ้งคงคา      ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง