หนุ่มเมืองจันท์ | คนละโลกเดียวกัน

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ตอนที่ผมเขียนคอลัมน์ “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” ใหม่ๆ จำได้ว่าผมจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่ๆ และเอามาเขียนลงคอลัมน์เป็นประจำ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีคิดทางธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด สินค้าใหม่ๆ ผับใหม่ๆ ฯลฯ

ตอนนั้นเขียนอย่างสนุก รู้สึกอยากเล่ามาก

แต่ยิ่งนานวัน เรื่องราวแบบนี้เริ่มหายไป

ยังติดตามเรื่องใหม่ๆ อยู่

แต่ติดตามแค่ “รู้”

…ไม่ได้ “รู้สึก”

ไม่ค่อยรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม

ความรู้สึกเฉยๆ กับสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายปีแล้ว

จนกระทั่ง…

เกิดม็อบกลุ่ม “คณะราษฎร 2563 ” ขึ้นมา

ผมติดตามข่าวของม็อบนักเรียน-นักศึกษายุคนี้อย่างตื่นเต้น

มันเป็น “นวัตกรรม” ทางการเมืองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ทั้งวิธีคิด วิธีการเคลื่อนไหว ภาษาการสื่อสาร จนถึงการนำเทคโนโลยียุคใหม่มาใช้

ผมรู้สึกเหมือนกลับมาเป็นนักข่าวใหม่อีกครั้ง

ตื่นตาตื่นใจ

อยากเขียน อยากเล่า

ปรากฏการณ์ครั้งนี้ฉีกตำรานักเคลื่อนไหวรุ่นเก่าไปเลย

ผมเชื่อว่าวันนี้ “สนธิ ลิ้มทองกุล-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-สุเทพ เทือกสุบรรณ” คงอิจฉาเด็กๆ

นึกดูสิครับ สมัยก่อนการเคลื่อนม็อบแต่ละครั้ง ต้องใช้ทรัพยากรมากแค่ไหน

ตั้งเวทีเครื่องเสียง อาหาร รถห้องน้ำ รถขนคน ฯลฯ

แต่ม็อบวันนี้ น้องๆ เขาอยู่หน้าจอ คิดว่าวันนี้จะม็อบที่ไหนดี

เขียนในเฟซบุ๊กแค่ 3-4 บรรทัดบอกว่าจะไปไหน

จากนั้นก็ปล่อยให้มวลชนว่ากันเองเลย

คนก็แห่ไปชุมนุมกัน

เป็นแฟลชม็อบที่อยู่แค่ 3-4 ชั่วโมงพอ

ไม่ต้องค้างคืน

เป็นม็อบที่ไม่มีแกนนำ ไม่ต้องใช้เครื่องเสียงขนาดใหญ่

รถห้องน้ำไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะใช้เวลาไม่นาน

อาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วง

เพราะจมูกพ่อค้าแม่ค้าไวมาก

มีม็อบที่ไหนมี “รถลูกชิ้น” ที่นั่น

แกนนำม็อบในอดีตเห็นแล้วคงคิดแบบอิจฉาริษยาในใจ

เฮ้ย…ทำไมสบายแบบนี้


ผู้ใหญ่หลายคนมักตั้งโจทย์ว่าม็อบนี้ต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง

คิดเองไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดต่างๆ ที่เป็น “คำถาม” ที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าตั้งคำถามมาก่อน

หรือวิธีการเคลื่อนไหว

รวมทั้งเงินทุนที่ใช้

เขาจะมีกรอบความคิดแบบเดิม เหมือนม็อบพันธมิตรฯ เสื้อแดง กปปส.

เชื่อว่าเด็กเป็น “ดาวเคราะห์” ที่ต้องรับแสงจากผู้อื่น

ไม่เชื่อว่า “เด็ก” เหล่านี้เป็น “ดาวฤกษ์”

เรื่องนี้อธิบายให้เข้าใจยากมากเลยครับ

แต่อยากให้คนที่คิดแบบนี้ลองไปดูม็อบของเด็กๆ สักครั้ง

“ม็อบ” ที่ไม่มีหัว ไม่มีแกนนำ

เขาจะเห็นการบริหารจัดการที่เกิดขึ้นเองของเด็กๆ

ตั้งแต่การส่งเสื้อฝน ร่ม หมวก เป็นทอดๆ แบบบอกกันเอง

เห็นการใช้รหัสมือที่มีคนคิดขึ้นมา

ผมชอบท่าขอหมวกกับแว่น

…น่ารักมาก

แม้ว่าเด็กรุ่นนี้จะเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

แต่เมื่อไม่มีเครื่องเสียงขนาดใหญ่ที่จะสื่อสารกับคนเป็นหมื่นคน

เขาก็เปลี่ยนจาก “ดิจิตอล” เป็น “อะนาล็อก”

ด้วยการตะโกนบอกกันเป็นทอดๆ

เราจะเห็นวัฒนธรรมของเด็กรุ่นใหม่จาก “ม็อบ” ครั้งนี้ได้ชัดเจนมาก

เช่น การระดมทุน

หรือที่เรียกว่าท่อน้ำเลี้ยง

สมัยก่อน จะต้องใช้เงินจาก “ท่อน้ำเลี้ยง” ขนาดใหญ่ เพื่อหล่อเลี้ยง “ม็อบ”

เพราะ “ม็อบ” ยุคก่อนต้องใช้เงินจำนวนมาก

“สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” เคยบอกว่าตอนที่ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของ กปปส. ใช้เงินวันละ 10 ล้านบาท

ม็อบยุคก่อนจะมี “รายใหญ่” อยู่เบื้องหลัง

แต่ “ม็อบ” วันนี้ใช้ระบบคล้ายกับ “สตาร์ตอัพ” ที่เปิด “คราวด์ฟันดิ้ง”

บอกเลขบัญชีอย่างเปิดเผย

ใครอยากสนับสนุนม็อบก็โอนเงินมาได้เลย

จะหลักสิบ หลักร้อย หรือหลักแสนก็ได้

แต่ไม่มีพันธผูกพัน

ใครจะไปนึกว่ากลุ่ม “ด้อม” หรือกลุ่มแฟนคลับศิลปินเกาหลี-จีน ใช้เวลาแค่ 2 วัน

ระดมทุนกันได้ 2-3 ล้านบาท

เป็นหนึ่งใน “ท่อน้ำเลี้ยง” ให้กับ “ม็อบ”

ซึ่ง “ม็อบ” นี้ใช้เงินน้อยมาก

เรียกว่าเงินที่ใช้ชัตดาวน์กรุงเทพฯ 1 วัน เลี้ยงม็อบนี้ได้เป็นเดือน

อย่าแปลกใจเลยครับที่ผมติดตามข่าว “ม็อบ” นี้อย่างตื่นตาตื่นใจ

อยากรู้ว่าจะมีอะไรใหม่ๆ อีกไหม

ในขณะที่รัฐบาลทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างร้ายแรง

สลายการชุมนุม ปิดสื่อ จับแกนนำ

จับรถเครื่องเสียง โรงงานผลิตหมวกกันน็อก ฯลฯ

ใช้อำนาจทุกอย่างเท่าที่ทำได้

แต่รัฐบาลยิ่งโกรธ เด็กยิ่งสนุก

เขาเล่นเอาเถิดเอาล่อกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยอารมณ์ขัน

ตั้งแต่หลอกให้รัฐบาลปิดรถไฟฟ้าทุกสถานี

เหมือนช่วย “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ให้

ล่าสุด ชุมนุมมาหลายวัน เขาก็ยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลทำตาม

ถ้าไม่ทำ จะมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์”

พอตอนเย็นๆ ก็บอกว่าให้ทุกคนไปที่สถานีรถไฟฟ้า

6 โมงเย็นชู 3 นิ้วร้องเพลงชาติ

ตะโกน “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

แล้วคอยฟัง “บิ๊กเซอร์ไพรส์”

ตำรวจกระจายกำลังไปทุกจุด ไม่รู้ว่าเด็กจะทำอะไร

พอถึงเวลา “คณะราษฎร 2563” ก็ประกาศพักการชุมนุม

เป็น “บิ๊กเซอร์ไพรส์”

ถ้าใช้ศัพท์วัยรุ่น งานนี้ตำรวจถูก “แกง”

“แกง” มาจากคำว่า “แกล้ง”

ครั้งนี้คือ “แกงเทโพ”

“เท” คือ เบี้ยว ทิ้ง

“โพ” มาจาก police หรือตำรวจ

คนที่มาชุมนุมก็ไม่โกรธ ขำด้วย

เท่าที่ไปสังเกตการณ์ ม็อบครั้งนี้ “เด็ก” เยอะมากครับ

ทั้งนักเรียนและนักศึกษา

พอม็อบไม่มีแกนนำ ใครอยากพูดอะไรก็ขึ้นพูดได้เลย

ที่แยกลาดพร้าว มีเด็กนักเรียนผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นยืน

หันหน้าเข้าเสาแบบอายๆ

อ่านเรื่องที่เตรียมมาในมือถือ

เป็นเรื่องขอให้พ่อ-แม่เข้าใจลูกบ้างว่าทำไมถึงออกมาชุมนุมครั้งนี้

อ่านจบ คนปรบมือ

เธอก็มุดหนีหายไปเลย

ผมเห็นภาพนี้แล้วน้ำตาซึม

นึกถึง “ดอกไม้จะบาน” ของ “จิระนันท์ พิตรปรีชา”

…ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน บริสุทธิ์กล้าหาญ จะบานในใจ…

ครับ วันนี้ “ดอกไม้” บานแล้ว

และถ้ายิ่งเด็ด

…ดอกไม้จะยิ่งบาน