จรัญ พงษ์จีน : หนทางอันหดแคบและดำมืด

จรัญ พงษ์จีน

สะกดคำว่า “ถอย” เป็นกะเขาเหมือนกัน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลพวงจากการสลายม็อบ “ราษฎร” ที่ชุมนุมแยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม

โดยคาบนี้ใช้กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน-ตำรวจปราบจลาจล นำรถฉีดน้ำแรงดันสูง กระบอง บุกตะลุยฉีดน้ำผสมสีขับไล่ อ้างว่าทำตามขั้นตอนของการสลายการชุมนุม ถูกต้อง ตรงเป๊ะตามหลักสากลทุกประการ เพื่อให้ม็อบยุติการรวมตัว

ฐานมีความผิด ต้องห้ามตามข้อกำหนด “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้

แต่คาดการณ์ผิดไปถนัด เหมือนดนตรียังบรรเลง จงร้องเพลงและเต้นรำกันต่อไป “ม็อบเด็ก” พกความฮึกเหิม กล้าหาญ เข้มแข็ง งอกงามขึ้นมาใหม่ในวันถัดมา และแตกตัวไหลดุจสายน้ำ พลิกกลยุทธ์ใหม่ ชุมนุมเป็นหย่อมๆ ในหลายจุด

สับขาหลอกเป็นวันๆ ไป ห้าแยกลาดพร้าว วงเวียนใหญ่ ไปปริมณฑล กระจายเวทีไปมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด หัวเมืองสำคัญครบทุกภาค เด็กๆ หลอมรวมกันแกะสลักประชาธิปไตยด้วยมือเปล่า มีเพียงร่ม ขวดพลาสติก

“ยึดความสงบ-สันติเป็นอาวุธ”

การขับเคลื่อนของมวลชนรุ่นเยาว์แตกต่างจากม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 2556 พลิกกลยุทธ์ ใช้ช่องทางโซเชียล ด้วยแพลตฟอร์มหลากหลายทั้งออนไลน์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ ทวิตเตอร์ เทเลแกรม เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

กลไกภาครัฐล้าสมัย หัวบุโรทั่ง กรอบคิดแบบเดิมๆ บังคับใช้กฎหมาย งัดมาตรการเด็ดขาดเข้าจัดการเพื่อจับกุม คุมขัง จึงคาดเดา จับทางอะไรไม่ถูก เท่ากับช่วยราดน้ำมันเข้ากองเพลิง

หลัง 16 ตุลาคม จึงเติมเชื้อให้เงื่อนไขการชุมนุมแทนที่จะจบ ยิ่งขยายออกไป และไม่เพียงแต่จำนวนม็อบจะเพิ่มปริมาณ “แนวร่วม” ยิ่งขยายเพดาน อาจารย์ นักวิชาการ แพทย์ องค์กร ภาคส่วนต่างๆ “พรึบ” ทั้งในและต่างประเทศ

ขุนเขายังเปลี่ยนได้ นับประสาอะไรใจคน “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ได้กินแกลบ แปลว่าไม่ได้โง่นั่นแหละครับ ดั่งที่จั่วหัวไว้ตอนข้างต้น อ่านหนังสือออก ท่องสูตรคูณแม่สองถึงแม่สิบสองถูก ย่อมไม่อยากเอาหัวชนกำแพง สะกดคำว่า “ถอย” เป็น หลายประเด็น

 

1.ยอมเป็น “เจ้าภาพ” เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ รวมทั้งยอมให้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 เพื่อฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภา ซึ่ง “บิ๊กตู่” ส่ง “อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปเป็น “ทูตไมตรี” เข้าหารือกับ “นายชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา พรรคร่วมและพรรคฝ่ายค้านทุกฝ่ายเห็นควรที่จะเปิดอกคุยกัน เคาะวันเรียบร้อยแล้ว ระหว่างวันที่ 26-27 ตุลาคม

2. ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้ารับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง มีคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้ดำเนินการตรวจสอบและระงับการเผยแพร่ของสื่อที่เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ซึ่งทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ได้ตรวจสอบประมวล โดยฝ่ายกฎหมาย เสนอศาลปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทางของวอยซ์ทีวี-ประชาไท-The Reporters-The Standard ซึ่งศาลมีคำสั่งปิดทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ของวอยซ์ทีวี ส่วนอีก 3 สื่อยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาอยู่นั้น

ทาง “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ยอมผ่อนคันเร่ง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยที่เกี่ยวข้องที่ตัดสินใจออกคำสั่ง ขอให้เจ้าหน้าที่ทบทวนคำสั่งระงับการออกอากาศต่างๆ โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นสำคัญ

“ยกเว้นกรณีที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บิดเบือน ยุยงปลุกปั่น กับที่มีความชัดเจนว่าเป็นเฟกนิวส์ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการ”

ขณะที่ “Voice TV” ที่มีความโดดเด่น ยอดพุ่งมากที่สุดจากม็อบ และโดนปฏิบัติเจ้าเดียวโดดๆ ไม่ได้สะเทือนเลื่อนลั่นอะไรมาก ประกาศให้แฟนคลับเพื่อทราบว่า

ไม่ได้จอดำหรือยุติทำข่าวออกอากาศรายการเหมือนตอนปฏิวัติ เป็นเพียงการออกคำสั่งไปบังคับแพลตฟอร์ม ให้ปิดยูอาร์แอลของวอยซ์ ไม่ได้เอาหมายศาลมาบังคับวอยซ์ทีวีโดยตรง ว่าให้หยุดเสนอข่าว หยุดทำรายการ

ถ้าเปรียบกับเผด็จการยุคโบราณคือไม่ได้เอาทหารไปล่ามโซ่ ทุบแท่นพิมพ์ ยังผลิตหนังสือพิมพ์ได้อยู่ แต่ไปห้ามเอเย่นต์ ร้านจำหน่ายวางขาย ดังนั้น โปรดติดตามวอยซ์ทีวี เลี่ยงไปใช้ยูอาร์แอลใหม่ ใช้เพจใหม่

3. มีข่าวคลุกวงในระบุว่า หัสเดิม “พล.อ.ประยุทธ์” จะตามซ้ำดาบสอง หลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินล้มเหลว โดยยกระดับเบาไปหาหนัก ประกาศ “เคอร์ฟิว” แต่สุดท้าย จำนนต่อสถานการณ์ และเมื่อเปิดสภาสมัยวิสามัญแล้ว จะเร่งประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่างหากด้วย

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะคลี่คลายได้ด้วยกาลเวลา ทุกการต่อสู้ต้องรู้จังหวะ การที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ถอยกรูดใน 2-3 เรื่องราว ไม่รู้ว่ามวลชนที่ชุมนุมจะรับมุขหรือไม่

เพราะข้อเรียกร้อง นอกจาก 3 ประเด็นเดิมแล้ว ยังงอกเพิ่มขึ้นอีกหลายเงื่อนไข เช่น ขอให้สั่งปล่อยตัว และไม่ดำเนินคดีใดๆ กับผู้ถูกจับกุมจากการชุมนุมนักศึกษาและประชาชน

– ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในทันที

– ยุติการคุกคามประชาชน ให้ความคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชน เป็นต้น

สถานการณ์ช่วงนี้ถือว่าสุ่มเสี่ยง เปราะบางเป็นอย่างมาก หากม็อบปลดแอกหรือราษฎรยังยกระดับด้วยความเข้มข้นต่อไป จะ “แกงเทโพ” หรือ “หัวไชเท้า”

ปัญหาจะ “สุกงอม” แน่นอน เพราะมีข่าวลือว่า “คนอีกฝ่าย” จะปลุกม็อบสู้ สร้างเงื่อนไขให้ต่างฝ่ายต่างเดินหน้าเข้าหากัน “มือที่สาม” ปั่นกระแสให้เกิดการเผชิญหน้า

สันติภาพจอมปลอมจะก้าวสู่สงครามรบพุ่ง เลือดนองท่วมปฐพี

สุดท้าย เราไม่มีทางรู้ว่า ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครหวังดีหรือประสงค์ร้าย

“ปฏิวัติ-รัฐประหาร” จะเกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้อีกครั้ง