เผยแพร่ |
---|
ถามว่าเป้าหมายของการออก”หมายจับ” นายอานนท์ นำพา นายภาณุพงศ์ จาดนอก นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ คืออะไร
คือการรุก คือการปรามเพื่อสกัดการเคลื่อนไหว
ภายใต้ความคิดที่ว่า เมื่อสามารถเด็ด”แกนนำ”ให้ไปอยู่ในที่คุมขังเสียแล้ว การเคลื่อนไหวก็จะค่อยๆฝ่อลงและก็หมดความหมายไปในที่สุด
คำถามที่ตามมาก็คือ เป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
สถานการณ์นับแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา เด่นชัดว่าปฏิบัติการรุกอันมาจากอำนาจรัฐในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
ที่คิดว่าเป็นการ”รุก” กลับกลายเป็นการ”ตั้งรับ” ตรงกันข้าม เป้าหมายที่ต้องการทำลาย ต้องการบดขยี้ กลับเติบใหญ่ขยายตัวและพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ
ที่เคยชุมนุมและอยู่ในที่ตั้งกลับเป็นการเคลื่อนขบวน
เห็นได้จากการเคลื่อนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมายังหน้าทำเนียบรัฐบาล การเคลื่อนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมายังหน้าทำ เนียบรัฐบาล
อีกรูปธรรมหนึ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าที่คิดว่า”รุก”กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นการ”ตั้งรับ”คือสถานการณ์ในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อคืนวันที่ 24 กันยายน
การขับเคลื่อนโดยการเสนอจัดตั้ง”คณะกรรมาธิการ”เพื่อศึกษาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอาจได้ชัยชนะ
เป็นชัยชนะจากการสนธิกำลังระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับ 250 ส.ว.เพื่อเตะถ่วง หน่วงเวลาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ยืดยาวออกไปอีก
แต่ภายในชัยชนะนั้นกลับสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย อย่างมิอาจปฏิเสธได้
และที่สุดก็นำมาสู่การจำต้องเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม
ไม่ว่ากรณีการออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง ไม่ว่ากรณีการสลายการชุมนุม กลไกอำนาจรัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา อาจประเมินว่าเป็นการรุก
แต่สถานการณ์รุกก็แปรเปลี่ยนเป็น”ตั้งรับ”
ตั้งรับจากตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายนกระทั่งเดือนตุลาคมอย่างต่อเนื่องและยาวนาน