เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / …13 ตุลาคม 59

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

…13 ตุลาคม 59

ในวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เป็นวันที่คนไทยทั้งแผ่นดินโศกสลด วันนี้ที่ผ่านมาล่วงเข้า 4 ปีแล้ว แม้ความเศร้าจะเจือจางลง แต่ความรู้สึกที่ “คิดถึง” พระองค์ท่านเชื่อว่ายังคงอยู่ในใจของคนไทยเสมอมา

วันนั้นคนไทยหลายล้านคนเฝ้าดูหน้าจอโทรทัศน์เพื่อรอฟังประกาศอย่างเป็นทางการ หลังมีข่าวจากแหล่งต่างๆ มาให้ได้ยินตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ

“แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี”

นี่คือส่วนหนึ่งของประกาศสำนักพระราชวังในวันนั้น

ทั่วแผ่นดินนิ่งเงียบงัน กับความจริงที่เกิดขึ้นว่า พระองค์ท่านได้จากเราไปแล้ว

คืนวันนั้นสื่อต่างๆ ล้วนนำเสนอเรื่องราวการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในแง่มุมต่างๆ แต่สิ่งที่สะเทือนเข้าไปในหัวใจคือ ความรู้สึกของประชาชนที่ได้ถ่ายทอดออกมาพร้อมน้ำตา

บางคนร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ

บางคนบอกว่าเหมือนโลกหยุดหมุน เหมือนตัวเองโดนทุบ คิดอะไรไม่ออก

 

ผมกลับไปเปิดลังหนังสือที่แยกเก็บหนังสือ-นิตยสารต่างๆ ที่ได้มีการจัดทำขึ้นในโอกาสเสด็จสวรรคตนี้โดยเฉพาะ เพื่อฟื้นความรู้สึกและภาพความทรงจำต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ยิ่งเปิดก็ได้เจอภาพที่ได้ผ่านตา แต่ไม่เคยผ่านใจเราเลย

อย่างภาพของประชาชนที่ไปเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ลานตรงกลางของโรงพยาบาลศิริราช พร้อมใบหน้าอาบน้ำตา ต่างแหงนมองขึ้นไปที่ยอดตึกที่ร่างของพระองค์ท่านทอดอยู่เหมือนอยากจะต่อสู้กับความเป็นจริง

ภาพประชาชนสวมชุดดำที่เนืองแน่นอยู่สองข้างทางที่จะมีการอัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปบำเพ็ญพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง เป็นมวลของคนนับแสนที่ล้วนโศกเศร้าอาดูรยิ่งนัก

ภาพที่เหล่านักเรียนนายร้อยสวมเครื่องแบบจัดเต็ม นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพร้อมมือตะเบ๊ะนิ่งนาน แต่ใบหน้านั้นเศร้านัก และบางคนก็น้ำตาไหลออกมาตอนขบวนพระบรมศพเสด็จผ่าน

ภาพของประชาชนที่อดทนต่อคิวอย่างยาวเหยียดบนพื้นที่ของท้องสนามหลวงเพื่อจะได้เข้าไปเคารพพระบรมศพ แม้จะได้มีเวลาถวายความอาลัยต่อร่างของพระองค์ท่านแค่ 5 นาที โดยต้องแลกกับการรอคิวนับ 3-4 ชั่วโมงก็ยอม

นางแดง ชุมจอง ชาวจังหวัดตรัง อายุ 82 ปี เล่าให้ฟังนิตยสาร “ดิฉัน” ฟังว่า

“ขึ้นรถไฟฟรีมาตั้งแต่บ่ายวันที่ 27 ตุลาคม แต่พอมาถึงสนามหลวงแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปกราบพระบรมศพ เพราะยายไม่มีรองเท้าใส่มา อยากเข้าไปกราบใจจะขาด แต่ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะทำวังท่านเปื้อน จนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามแล้วช่วยพายายเข้าไปกราบถึงในวัง น้ำตามันไหลตั้งแต่กราบพระบรมศพท่าน จนออกมานอกวังก็ยังไม่หยุดไหล”

นอกจากนี้ ผมยังได้ย้อนอ่านเรื่องราวในหนังสือต่างๆ ทั้งที่เป็นการสัมภาษณ์ หรือข้อมูลส่วนพระองค์ หรือที่เป็นข้อมูลเชิงวิชาการ ก็ยิ่งทำให้คิดถึงพระองค์ท่านมากขึ้น

 

ในหนังสือ ELLE MEN ฉบับพิเศษ ได้มีบทสัมภาษณ์อาจารย์วิรัช อยู่ถาวร ที่ได้เคยร่วมเล่นดนตรีกับพระองค์ท่านในหลายๆ โอกาส โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นการทรงดนตรีส่วนพระองค์ ซึ่งอาจารย์ก็มีเกร็ดเกี่ยวกับพระองค์ท่านมาเล่าให้ฟังมากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่ขอหยิบยกมาให้อ่านกันคือ

“พระองค์เคยตรัสเรื่องการอิมโพรไวส์ให้กับนักดนตรีวง อส.ว่า การอิมโพรไวส์มีประโยชน์นะ เพราะมันใช้ในชีวิตประจำวันได้ เมื่อเราทำงานอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันไม่เป็นไปตามแผน เราต้องอิมโพรไวส์ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ดังนั้น ยิ่งเล่นอิมโพรไวส์มากๆ ยิ่งทำให้เราเข้าใจชีวิตว่า ถ้าไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ เราต้องด้นเอง”

ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ได้พูดคุยกับ Clay Hemmerich นักเขียนวัย 31 ปี ว่า

“ผมเป็นลูกครึ่งไทย-แคนาดา เกิดที่แคนาดา แต่ตอนนี้มาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่เมืองไทยมาหกปีแล้ว หลังทราบข่าว ผมมาที่สนามหลวง รู้สึกได้ถึงพลังศรัทธาที่ยากจะอธิบาย พระองค์คือกษัตริย์ที่พยายามเรียนรู้เพื่อนมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และมีความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นเป็นอย่างมาก สิ่งนี้เองที่ช่วยเชื่อมประชาชนเข้าด้วยกัน สำหรับผม พระองค์คือบุคคลผู้ไม่เคยกลัวที่จะออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ สิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิดว่าพระองค์จะสามารถทำได้”

 

ในนิตยสาร Hello มีคอลัมน์หนึ่งที่จั่วหัวว่า “รอยแย้มพระสรวล” แล้วก็มีเรื่องเกี่ยวกับพระอารมณ์ขันมาถ่ายทอดให้อ่านกัน อย่างเรื่องหนึ่งที่น่ารักมากคือ

“ในการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรครั้งหนึ่งซึ่งจะมีช่วงบ่าย ในช่วงเช้าทันตแพทย์ประจำพระองค์ได้ถวายการรักษารากพระทนต์ ซึ่งต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วฤทธิ์ยาชาจะทำให้เสวยพระกระยาหารไม่ลง

โดยที่ไม่ได้เสวยพระกระยาหาร แต่พระองค์ก็ยังทรงอุตสาหะเสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตรในช่วงบ่าย พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานเหตุการณ์วันนั้นไว้ว่า

“แจกไปแจกมาก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา  เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา) ความจริงตอนนั้นหลับในอยู่ (เสียงฮา) ก็ตกใจตื่น (เสียงฮา)

…การแจกปริญญานั้น ที่จริงเป็นเทคนิคสูงมาก คือว่าเครื่องของคนเราถ้าเทียบกับเครื่องยนต์กลไก เราเสียเปรียบ เราปิดเครื่องไม่ได้ แต่บังเอิญตอนนั้นการแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟันก็ส่วนปวดฟัน (ฮา) ส่วนหลับในก็ส่วนหลับใน (ฮา) เมื่อเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” มาต้องโสตประสาท ก็ตกใจตื่นทั้งตัว”

“แต่ว่าหลังจากตกใจตื่นขึ้นมา อาการปวดฟันก็หายไป รู้สึกกระปรี้กระเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป…”

 

คงจำกันได้ว่าได้มีการเตรียมการสำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงอย่างดียิ่งเพื่อให้สมพระเกียรติ ตั้งแต่งานใหญ่อย่างการก่อสร้างพระเมรุมาศ และการปรับผังบนท้องสนามหลวงทั้งหมด เพื่อรองรับพิธี ไปจนกระทั่งงานเล็กๆ แต่ละเอียดลอออย่างการคัดลอกลาย การลงสี การทำเครื่องประกอบต่างๆ ที่ได้ระดมจิตอาสาทั้งจากศิลปินสาขาต่างๆ และจากประชาชนทั่วไปที่อยากช่วยงานนี้

หนึ่งในนั้นคือ อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนี้ คุณชวน หลีกภัยนั่นเอง ที่ได้เดินทางมาร่วมเป็นจิตรกรอาสาในการเขียนสีฉากบังเพลิง คุณชวนได้ตั้งใจทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ได้เดินทางมาทำงานเป็นเวลากว่า 4-5 เดือนเกือบทุกวัน ซึ่งคุณชวนได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า

“การรวมตัวของคนไทยครั้งนี้ แสดงออกให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในใจของชาวไทยทุกคน เป็นภาพที่น่าชื่นชม นับเป็นการระดมฝีมือของช่างฝีมือในเมืองไทย เพื่อทำงานถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างเต็มที่”

 

ตอนที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ยังไม่ถึงวันที่ 13 ตุลาคม เลยไม่มีข้อมูลว่าวันนั้นจะมีการทำอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านบ้าง เห็นบางกระแสได้เอ่ยเชิญชวนให้คนที่ยังระลึกถึงพระองค์ท่านได้ลุกขึ้นมาสวมเสื้อสีเหลืองกัน เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน

ในขณะที่ถัดไปอีกวันคือ 14 ตุลาคม ก็จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ของมวลชนที่ใช้นามว่า “คณะราษฎร 2563” เพื่อต่อต้านรัฐบาล โดยยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ที่ข่าวสำนักต่างๆ ได้เสนอไปแล้ว

โดยได้ประกาศว่าจะทำแบบ “ม้วนเดียวจบ” ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ และจบอย่างไร สำคัญคือ “ใครจบ”

ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเหตุการณ์ตึงเครียดจนเกิดวิกฤตความรุนแรง ที่จะพาให้บ้านเมืองสับสนอลหม่านและลำบากเดือดร้อนไปมากกว่านี้เลย หากมีการใดที่หันหน้ามาเคลียร์กันได้ก็อยากให้ทำ แต่ทั้งนี้ต้องมาจากความจริงใจของผู้เกี่ยวข้อง

ยิ่งอย่างนี้ก็ยิ่งคิดถึงพระองค์ท่าน เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นมาหลายครั้งแล้วว่า ยามใดที่บ้านเมืองวุ่นวายสาหัสหาทางออกไม่ได้ พระองค์จะเป็นผู้เข้ามาทำให้เรื่องสงบลงได้ และเรียก “สติ” ของคนไทยให้คืนมาเพื่อดับปัญหานั้นๆ เสีย จะได้ช่วยกันประคองประเทศชาติให้เดินต่อไปได้

13 ตุลาคมปีนี้ จึงคิดถึงพระองค์ท่านเสียนักแล้ว