เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าปฏิบัติการคุกคามโดยการส่งเจ้าหน้าที่ติดตาม ประกบ แสดงตัวต่อเป้าหมาย ไม่ว่าปฏิบัติการจับกุม คุมขังเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างความหวาดกลัว และจำกัด กำจัดพื้นที่ในการเคลื่อนไหว
ยุทธศาสตร์สูงสุดก็เพื่อให้ยุติการเคลื่อนไหว ยุติการชุมนุม
คำถามก็คือ นับแต่มีการคุกคามการเคลื่อนไหวอย่างเด่นชัดและต่อเนื่องในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ยุทธวิธีนี้สามารถบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ที่วางหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจับกุมบุคคลซึ่งคิดและประเมินว่ามีบทบาทและดำรงอยู่ในสถานะอันเป็น”แกนนำ”
ไม่ว่าจะเป็น นายอานนท์ นำพา ไม่ว่าจะเป็น นายภาณุพงศ์ จาดนอก ไม่ว่าจะเป็น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ปภัสยา วัฒนสิทธิจิรกุล เป็นต้น
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วการเคลื่อนไหวสามารถยุติและหมด บทบาทลงหรือไม่
คำตอบเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนับแต่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เป็นต้นมา
ประเดิมด้วยการเข้าสลายการชุมนุมและจับกุมในวันเดียวกันและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม
นับจากวันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นมา นายอานนท์ นำพา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ถูกจับกุมไปแล้ว ตามมาด้วย น.ส.ปภัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
แต่การชุมนุมในวันที่ 17 ตุลาคม ณ ห้าแยกลาดพร้าวและจุดอื่นๆก็ดำเนินต่อไป การชุมนุมในวันที่ 18 ตุลาคม วันที่ 19 ตุลาคม ก็ยังดำเนินต่อไป
ไม่เพียงในกรุงเทพมหานครหากในขอบเขตทั่วประเทศ
สะท้อนให้เห็นว่า มวลชนสามารถขับเคลื่อนการชุมนุมต่อไปได้บนพื้นฐานที่”ทุกคนคือแกนนำ”
เมื่อมีการเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมายังบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลได้ในวันที่ 14 ตุลาคม สถานการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นอีกในวันที่ 21 ตุลาคม โดยมาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ทั้งยังยื่นคำขาดให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก
นี่ย่อมเป็นการเคลื่อนไหวโดย”ราษฎร”ที่ทุกคนอยู่ในสถานะแห่ง”แกนนำ”ในทางเป็นจริง
นี่ย่อมเป็นประดิษฐ์กรรมใหม่ นวัตกรรมใหม่ในทางการเมือง