คุยกับ “พล.อ.สนธิ” 14 ปี หลัง 19 กันยาฯ ว่าด้วย “รัฐประหารใหม่” และ “นิรโทษกรรม”

เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นำโดย “บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีต ผบ.ทบ. และประธาน คมช. ผ่านมา 14 ปีแล้ว วงจรรัฐประหารยังคงเวียนวน เมื่อเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่เหมือนหนังม้วนเดิมในการต่อสู้ระหว่าง “ขั้วทักษิณ” กับ “ขั้วอำมาตย์”

ทำให้ “2 นายกรัฐมนตรีพี่น้องตระกูลชินวัตร” มีชะตากรรมไม่ต่างกัน

ทว่ารัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง มีความแตกต่างในการ “สืบทอดอำนาจ-ถ่ายโอนอำนาจ” โดยยุค คมช.ถูกมองว่า “เสียของ” ทำให้ยุค คสช.ต้องถอดบทเรียน นำมาสู่การผ่องถ่ายอำนาจที่ใช้เวลากว่า 5 ปี

มีการตั้งพรรคทหาร ปูทางเลือกตั้งภายใต้กติการัฐธรรมนูญ 2560 รวมทั้งสร้างเน็ตเวิร์กกับกลุ่มการเมืองและกลุ่มทุนอย่างเป็นระบบ ภายใต้การนำของ “3 ป. บูรพาพยัคฆ์”

ระบอบ คสช.จึงครอบครองอำนาจและควบคุมประเทศมาได้เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว

อย่างไรก็ดี กลับมีเหตุการณ์ “นอกเหนือสมการ” ที่วางไว้ หนึ่งในนั้นคือการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งกระแสธารในการต่อสู้กับระบอบ “อำนาจนิยม” ผ่านกรอบคิดเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองในหมู่คนรุ่นใหม่

ดังที่ “บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” อดีต ผบ.ทบ. เคยสะท้อนความวิตกกังวลในประเด็นเหล่านี้ผ่านวาทะ อาทิ “ซ้ายจัดดัดจริต” หรือ “หนักแผ่นดิน” เป็นต้น

หนึ่งในบุคคลที่น่าพูดคุยสนทนาด้วยท่ามกลางสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ย่อมต้องเป็น “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” ผู้ก่อการรัฐประหารปี 2549 ซึ่งสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้แก่สังคมการเมืองไทย

14 ปีผ่านไป บิ๊กบังคิดเห็นเช่นไรกับสภาพการเมืองไทยยุคปัจจุบัน

“ผมไม่เชื่อว่าจะมีรัฐประหาร เพราะปัญหาของความขัดแย้งในประเทศก็รุนแรงพอแล้ว ดังนั้น วิธีแก้ก็มีวิธีการอยู่ ไม่จำเป็นต้องมีรัฐประหาร เพราะไม่เชื่อว่าการปฏิวัติจะใช้แก้ไขปัญหาได้ในเวลานี้ ซึ่งมันหนักกว่าเมื่อปี 2549 เนื่องจากวันนี้ความขัดแย้ง 2 ฝ่ายแย่กว่าเก่า”

พล.อ.สนธิตอบคำถามเรื่องข่าวลือรัฐประหารที่เกิดขึ้นหนาหูในช่วงก่อนเดือนตุลาคม 2563

ขณะเดียวกัน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารผู้นี้ก็ให้ความสนใจกับกลุ่มตัวละครใหม่ๆ ทางการเมือง แทนที่จะเพ่งเล็งทุกอย่างไปยังอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร”

“ทักษิณอายุอ่อนกว่าผม 3 ปี ปัจจุบันก็ 70 กว่าปีแล้ว ซึ่งก็ต้องมองว่าจะมีความสุขกายสุขใจอย่างไร คงไม่คิดจะสู้ไปถึงปานนั้น ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่มีการขับเคลื่อนในทุกวันนี้กำลังมีบทบาทมากกว่า และ (ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง) น่าจะเกิดกับคนรุ่นใหม่”

ก่อนที่บิ๊กบังจะอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมว่าทำไมเขาจึงไม่เชื่อว่าจะมีรัฐประหารครั้งใหม่เกิดขึ้น กล่าวคือ แม้ “บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้” ผบ.ทบ.คนใหม่ ผู้เติบโตมาในสายวงศ์เทวัญนั้นมิได้เป็นสายตรงของ “3 ป.” จนส่งผลให้รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต้องอยู่ในสภาวะขาลอยไม่น้อย

แต่กระนั้น บิ๊กตู่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม ก็ยังถือเป็น “รุ่นพี่” ของ ผบ.ทบ. และเป็นองคาพยพเดียวกันใน “ฝ่ายอำมาตย์”

ด้วยเหตุนี้ น้ำหนักในการก่อรัฐประหารจึงลดลง ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น พล.อ.สนธิเชื่อว่าอาจเป็นรูปแบบ “การกระชับอำนาจ” มากกว่า

มีเรื่องหนึ่งที่ พล.อ.สนธิเอ่ยปากร้องขอเพื่อน-น้องซึ่งมีอำนาจอยู่ในคณะรัฐบาลชุดนี้ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบรอบ 74 ปีของตนเอง และเพื่อการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งของบ้านเมือง

นั่นคือการนิรโทษกรรมให้ผู้เห็นต่างทางการเมือง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทุกกลุ่มหันหน้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาของประเทศ

“เรื่องความปรองดอง หากทำกันจริงจังสามารถเกิดขึ้นได้ โดยให้คนที่มีความคิดต่างในแต่ละกลุ่มหันหน้ามาร่วมกัน แต่หากเป็นความผิดพลาดทางการเมืองที่เกิดจากความเห็นต่าง แล้วฝ่ายปกครองบอกว่าผิดกฎหมายและติดคุก

“อันนี้คือต้องนิรโทษกรรมหรือการให้อภัยกับคนที่มีความคิดและความแตกต่างทางการเมือง แต่ก็ต้องแยกจากคดีอาญา ถือเป็นของขวัญที่ผมอยากเห็น”

 

อีกประเด็นหนึ่งที่มีพลวัตเคลื่อนไหวมาตลอดช่วงเวลากว่าทศวรรษคือ สายสัมพันธ์ระหว่าง “พี่น้องเตรียมทหาร” ที่ตัดไม่ขาด

โดย พล.อ.สนธิเป็น ตท.6 รุ่นเดียวกับ “บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ขณะที่อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็น ตท.10 รุ่นเดียวกับ “บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”

เมื่อถามว่าหลังรัฐประหาร 2549 มีโอกาสได้ติดต่อรุ่นน้องอย่างทักษิณบ้างหรือไม่?

บิ๊กบังเปิดเผยว่า “ไม่ได้ติดต่อกันอย่างนั้น แต่ (ถ้า) เจอกันด้วยกรณีใดก็ตาม เขาจะเรียกว่าพี่บัง เขาก็ยังเรียกพี่อยู่ และไม่เคยรื้อฟื้นอดีตมาพูดคุยกัน เขามีมารยาท เป็นผู้ใหญ่

“คุยโทรศัพท์ครั้งแรก หลังผมปฏิวัติ ท่านก็บอกว่า ผบ.ทบ. ตัวผมเป็นนักกีฬา หมายความว่ารู้แพ้รู้ชนะ ท่านทักษิณพูดแค่นี้ เข้าใจชัดว่าเกมจบแล้ว ผมมองว่าท่านก็เป็นสุภาพบุรุษ เราจบเตรียมทหารมาด้วยกัน เป็นพี่เป็นน้องตัดกันไม่ขาด จะเกลียดกันแค่ไหน เดี๋ยวก็ดีกัน”

ขณะที่สายสัมพันธ์ระหว่างบิ๊กบังกับบิ๊กป้อม ซึ่งจบ ตท.6-จปร.17 มาเหมือนกันนั้น ก็มีลักษณะเติบโตมาคนละสาย

โดย พล.อ.สนธิเป็นทหารรบพิเศษ สายตรงของ “บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ขณะที่ พล.อ.ประวิตรเป็นสายบูรพาพยัคฆ์

ยิ่งกว่านั้น เส้นทางรับราชการของ พล.อ.ประวิตรยังเคยหลุดไลน์-ถูกเด้งเข้ากรุไปพักใหญ่ในยุคที่ พล.อ.สุรยุทธ์ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.

แต่กระนั้นก็ไม่มีความขัดแย้งชัดเจนใดๆ ระหว่างสองเพื่อนร่วมรุ่น เช่น บิ๊กบังกับบิ๊กป้อม

“ก็เจอกันอยู่ ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตรบ้าง แต่ท่านงานเยอะ”

เมื่อถามว่าได้แนะนำสิ่งใดแก่บิ๊กป้อมบ้างหรือไม่? บิ๊กบังตอบว่า “ผมอยากเรียนว่า ท่านรู้มากกว่าผมทุกอย่าง เพราะผมไม่ได้จับกับการเมือง ต้องยอมรับข้อเท็จจริง”

ณ ปี 2563 พล.อ.สนธิได้ “ล้างมือในอ่างทองคำ” อย่างเด็ดขาด และไม่ได้ทำพรรคมาตุภูมิอีกแล้ว อดีตนายทหารวัย 74 ปี ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการออกกำลังกายโดยเฉพาะการตีเทนนิสที่สโมสรกรมการทหารสื่อสาร ร่วมด้วยการขับรถท่องเที่ยวและเลี้ยงดูหลาน

นี่คือ “ชีวิตที่ลิขิตเอง?” ของชายชื่อ “สนธิ บุญยรัตกลิน”