สูตรสำเร็จในชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา ว่าด้วย ความอดทน

สูตรสำเร็จในชีวิต (33)

ความอดทน (1)

ความอดทนตรงกับภาษาพระว่าขันติ พระอรรถกถาจารย์กับโบราณจารย์ไทยอธิบายแตกต่างกันนิดหน่อย ซึ่งก็ “เข้าท่า” และ “เข้าที” ทั้งสองนัย

โบราณจารย์ไทย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใคร ได้อธิบายไว้ว่า ขันติหรือความอดทนนั้นมีอยู่ 3 ลักษณะคือ

ทนลำบาก ได้แก่ ทนทุกขเวทนาความเจ็บปวดต่างๆ ได้ ไม่บ่นไม่ร้อง เช่น ป่วยเป็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ทนเอาไว้ ไม่สำออยครางอูยๆ จะตายให้ได้ หรือเจ็บมากๆ ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้

ทนตรากตรำ ได้แก่ ทนสู้งานทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างตรากตรำ หนักเบาเอาสู้ ไม่ท้อถ้อย ไม่ใช่คนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรจับจด

ทนเจ็บใจ ได้แก่ ทนต่อการว่าร้ายด่าทอจากปากคนอื่นไม่เอามาเป็นอารมณ์

ใครเขาจะนินทาว่าร้าย หรือด่าเสียดสีอย่างไรก็สงบใจได้ไม่โต้ตอบ จะทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันเปล่าๆ

ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระอรรถกถาจารย์ท่านแยกความอดทนไว้ 2 ประการคือ

อดกลั้น หมายถึงเวลาได้รับความเจ็บปวดทางกายก็ดี เวลาตรากตรำทำงานหนักก็ดี เวลามีคนมาว่าร้ายด่าทอก็ดี พยายามอดกลั้นไว้ ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอ เฉพาะอย่างยิ่งเวลาใครมาฉอดๆ ต่อหน้าก็เอาหูทวนลมเสีย นึกถึงเพลงของเบิร์ดเข้าไว้ “ลิ้นกับฟันพบกันทีไรก็เรื่องใหญ่” และโอกาสที่จะ “กัด” หรือ “ฟัด” กันก็คงไม่เกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่าอดกลั้น (อธิวาสนขันติ)

อดทน สูงขึ้นไปกว่านั้น “อดกลั้น” นั้นเรายังเดือดอยู่ในใจแต่สู้ข่มไว้ไม่แสดงออกมา แต่ “อดทน” หมายถึงไม่โกรธเลย ใครว่าอย่างไรก็เฉยไม่รู้สึกอะไร เป็นความเข้มแข็งของจิตที่ฝึกฝนมาจนทนทานแกร่งกล้าแล้ว (ตีติกขาขันติ)

สรุปง่ายๆ ความอดกลั้นนั้น จิตใจยังโกรธอยู่แต่ไม่แสดงออก

ส่วนความอดทนนั้น จิตใจสงบเย็นไม่โกรธเลย

ขอยกตัวอย่างขันติของพระอานนท์กับของพระพุทธเจ้า มาเปรียบเทียบเพื่อความกระจ่าง

คนอันธพาลพวกหนึ่งได้รับสินจ้างให้มาด่าพระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จไปไหน ไอ้พวกเวรห้าร้อยนี้ก็ตามไปด่าเสียๆ หายๆ

พระอานนท์เดือดปุดๆ อยู่ในใจ แต่สู้อดกลั้นไว้ไม่ด่าตอบ ส่วนพระพุทธองค์เสด็จพุทธดำเนินไปดังหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พระอานนท์กราบทูลให้หนีไปที่อื่น พระพุทธองค์ตรัสถามว่าหนีไปไหน ก็กราบทูลว่าไปเมืองอื่น

เมื่อทรงย้อนถามว่า ถ้าคนเมืองนั้นด่าอีกล่ะจะไปไหนอีก “ก็ไปเมืองอื่นอีก” พระพุทธอนุชากราบทูล

พระองค์ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราก็หนีไม่มีที่สิ้นสุดเพราะโลกนี้คนชั่วมีมาก ไปไหนก็ถูกด่าอยู่ดี อยู่ที่นี่แหละ มันเหนื่อยก็หยุดด่าเอง”

อย่างนี้แสดงว่าพระอานนท์มีเพียง “ความอดกลั้น” พระพุทธองค์มี “ความอดทน”

คนเช่นนี้อย่าว่าแต่ไม่โกรธด่าเลย กลับสงสารเห็นใจเขาเสียด้วยซ้ำ

ได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างความอดกลั้นกับความอดทน

ขอต่อเรื่องนี้อีกนิดเถอะครับ

ความอดกลั้น เป็นเรื่องของคนมีกิเลสหนาแน่น มีขอบเขตจำกัด กลั้นไว้นานเข้าอาจระเบิดออกมาเมื่อใดก็ได้

ส่วนความอดทนชนิดที่เรียกว่า “ตีติกขาขันติ” นั้น เป็นคุณสมบัติของผู้มีกิเลสเบาบางหรือหมดกิเลสแล้ว ขันติชนิดนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็น “ยอดตบะ” ดังตรัสสอนไว้ในโอวาทปาติโมกข์นั้นแล

พระอริยเจ้าทุกองค์ หรือกัลป์ยาณปุถุชน (ปุถุชนชั้นดี) มีขันติระดับนี้ทั้งนั้น ยกตัวอย่างให้สักเรื่องหนึ่ง มีอีตาพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ยินเขาพูดกันว่าพระสารีบุตรเป็นผู้มีความอดทนสูงมาก ไม่โกรธใคร แกไม่เชื่อจึงอยากทดลองดู

วันหนึ่งพระเถระกำลังออกบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี พราหมณ์คนนี้แกย่องไปข้างหลัง ไม่ให้พระเถระท่านรู้ตัว พอได้จังหวะเหมาะก็ซัดเข้าเต็มรัก

จะมีอะไรเสียอีก หมัดขวามรณะของแกน่ะสิครับ ซัดเข้ากลางหลังพระเถระ

ท่านไม่ทันระวังตัว เซแซดๆ ไปข้างหน้า พอตั้งตัวได้ก็เดินต่อไป ไม่หันมาดูเสียด้วยซ้ำว่าใครมาทำอะไรท่าน

ถ้าเป็นปุถุชนคนมีกิเลสหนาน่ะเหรอครับ พระก็พระเถอะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่หว่าคงได้ถกสบงวางมวยตอบญาติธรรมผู้ไม่ประสงค์ดีคนนี้ไปแล้ว

แต่บังเอิญว่าเรื่องนี้เกิดกับพระอรหันต์จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อีตาพราหมณ์ผู้ชอบลองของ พอเห็นพระเถระไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็ให้ร้อนรุ่มกลุ้มใจเป็นกำลัง วิ่งตามไปหมอบแทบเท้าขอขมาพระเถระก็ยกโทษให้

อ่านเรื่องนี้แล้ว บางท่านอาจคิดว่าเป็นนิทาน “หลอกเด็ก” มีอย่างหรือ ถูกเขาต่อยหัวคะมำยังเดินเฉย เป็นเราน่ะหรือ คงได้รู้ดำรู้แดงกันแล้ว แค่ขับรถแซงกันเท่านั้น ยังฆ่ากันตาย เพราะไร้ความอดทนเลย

ที่จริงคนธรรมดาที่กิเลสเบาบางหน่อย ก็มีขันติชนิดนี้ได้ครับ มิใช่เรื่องเหลือเชื่อแต่อย่างใด

ขันติกับความไม่โกรธเป็นคุณธรรมเกื้อหนุนกัน คนจะมีขันติได้ต้องเป็นคนไม่มักโกรธ คนที่ชอบโมโหฉุนเฉียวไม่มีทางมีขันติได้ การฝึกใจให้มีขันติมิใช่เรื่องยาก เพียงหัดเป็นคนไม่โกรธใคร หัดหนักแน่นไว้เท่านั้นก็มีขันติได้

ในแง่หลักวิชา ราคะมีโทษน้อย ละได้ช้า โทสะมีโทษมาก ละได้เร็ว โมหะมีโทษมาก ละได้ช้า

โทสะ (ความโกรธ) มันมาแรงตึงๆ จริงๆ แต่ละได้ง่าย คนขึ้นโมโหฉุนเฉียว ลองปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิสักพัก จะกลายเป็นคนหนักแน่น ใจเย็น สุขุม ส่วนราคะนั้น ระดับพระอนาคามีจึงจะละได้ โมหะต้องพระอรหันต์จึงจะละได้

ใครก็ตามที่คุยว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามารมณ์ แต่พอใครแหย่เข้าหน่อย โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อย่างนี้เขาเรียกว่าคนโกหกเป็นนักปฏิบัติธรรมจอมปลอม หลอกได้แต่คนโง่เท่านั้น คนฉลาดเขารู้