การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ยิ่งระลึกหน้าชายเมื่อบ่ายยาม

เหมือนตะวันจันทรามาหล่นตก

เหมือนในอกเกลื่อนเงากัดเว้าแหว่ง

อาจเพราะวูบตาเร้นเห็นคราบแกง

กับบางแรงพุ่งขึ้นมาว่าฉันหวง??…

 

เหมือนก้อนอิฐติดไหล่ไหวถึงหัว

ให้เมามัวร้อยรัดปมมัดถ่วง

ซ่านกระเซ็นเฉอะแฉะและด่างดวง

สุมรุมทรวงแม้ตนยังจนใจ

 

ฝีเท้าจ้ำย่ำหนีคนที่เรียก

กลับคล้ายเพรียกภูตผีรี่มาใกล้

เพื่อนขานขับจับมือยื้อยุดไว้

ยิ่งสลัดตัดใยไม่รั้งรอ

 

จนกระทั่งจังหวะจะก้าวข้าม

เงียบเสียงตามหยุดนิ่งไม่วิ่งต่อ

เหลียวหลังเห็นดวงหน้าน้ำตาคลอ

หยุดชะลอไกลห่างอย่างปวดร้าว

 

โอ้อกกูผู้ชั่วตัววิบัติ

เป็นคนเกือบเหลือบสัตว์เกินจะกล่าว

ตีนตัวเองก็ต่ำย่ำเมือกคาว

ยังสอยดาวลงหล่มจะจมโคลน

 

ราวหัวใจแบ่งเส้นเป็นสองฟาก

หนึ่งแห้งผากหยากไย่แขวนไม้โค่น

อีกหนึ่งกลับสะเทือนเหมือนดินโยน

แตกกระจายใต้โคนตอไม้ตาย

 

อีกครั้งที่สีเฟืองเหลืองปรากฏ

อย่างหมดจดในผ่าวแดดอ้าวบ่าย

อีกครั้งที่มีเหงื่อชุ่มเนื้อกาย

ก่อนสำนึกสุดท้ายจะหายวับ!

 

ลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังแตะฟูก

ใกล้จมูกมีกลิ่นยารินจับ

สิ่งแรกที่มองเห็นเป็นวาววับ

คือมือซับน้ำล่องผ่านร่องตา

 

“เกิดอะไรขึ้นกัน…” พลันผุดลุก

ตากระตุกแสบวูบมือลูบหน้า

“เธอฟื้นแล้วสิพี่!” เสียงปรีดา

“รู้ไหมว่าเป็นลมล้มกลางทาง”

 

เหมือนเสียงแว่วแทรกผ่านจากม่านหมอก

เป็นคำบอกใกล้หูอยู่เคียงข้าง

ค่อยค่อยลืมตาปรับรับภาพราง

ก่อนจะเห็นกระจ่างทุกอย่างไป

 

ค่อยจับความตามคำที่พร่ำพูด

“เธอล้มครูดแทบชนต้นไม้ใหญ่

ดีรถแดงคันหนึ่งพึ่งผ่านไป

ฉันจึงให้ถอยล้อขอจอดรับ

 

แรกจะนำเธอส่งเข้าโรงยา

แต่เขาว่าไม่แน่แค่วูบหลับ

อาจจะเพราะแดดดำระยำยับ

จึงพากลับเข้าห้องประคองมา

 

ตัวเธอหนักชักลากดั่งซากซีด

ฉันแทบหวีดปากเต้นห่วงเป็นบ้า

โชคคนขับใจดีมีเมตตา

ช่วยอุ้มพาเข้าเรือนเป็นเพื่อนกัน

 

พี่อย่าเพิ่งลุกนะจะต้องค่อย

ทีละน้อยค่อยนะทีละขั้น…”

สัมผัสมือลูบร่างพลางรำพัน

จึงตาฉันลืมตามาแสบเคือง

 

อนิจจาตัวกูผู้ชั่วชาติ

ความอนาถซ่อนซุกเสียทุกเรื่อง

ทำแต่สิ่งโง่เขลาอยู่เปล่าเปลือง

จะยักเยื้องทางใดให้สุดอาย

 

ตวาดเขากร้าวแกร่งแสดงโกรธ

กลับทัณฑ์โทษวกมาขึงตาข่าย

ขยุ้มเชือกเกลือกเกลียวพันเกี่ยวกาย

ผลสุดท้ายขายหน้ามาพึ่งเขา…

 

ตะวันค่อยถอยแสงเมื่อแลงมืด

กลิ่นแกงจืดอวลอายในชามเก่า

บรรจงจัดถ้วยช้อนเหมือนตอนเช้า

พลางเพื่อนเข้าแนมนั่งยังจุนเจือ

 

มือกร้านหยาบทาบจับสำรับโตก

ที่ทาแป้งแต่งโบกเริ่มโชกเหงื่อ

เดี๋ยวรินน้ำตำเติมเดี๋ยวเพิ่มเกลือ

เดี๋ยวปัดเสื้อดึงด้ายวุ่นวายไป

 

โอ้ตะวันจันทร์เดือนเลื่อนวนรอบ

จากโค้งครอบขอบฟ้าเวียนมาใหม่

ตกดึกมีจันทร์ส่องถึงห้องใน

ดั่งแสงไหม้เย็นอาบอยู่วาบวับ

 

ร่างฟ่ามเนื้อเสื้อเก่าเข้าซ้อนกอด

ซุกแขนสอดรั้งตัวลูบหัวจับ

กลิ่นต่างต่างล้างกายก็หายลับ

ขี้เต่ากลับเหือดสิ้นจางกลิ่นลง

 

ผมกลับมาสยายคลายคลุมหมอน

อกงามงอนดันพุ่งอยู่สูงส่ง

เสียงหายใจเบานุ่มเช่นพุ่มพง

พฤกษ์ดิบดงสีเสียดก่ายเบียดขา

 

ขาบดเบียดเสียดสีดั่งมีเวทย์

ดับเทวษทั้งปวงบังดวงหน้า

รับรู้เพียงนวลปากฝากรักมา

อย่างช้าช้าถอยลดจูบซดกิน

 

สะเทือนไหวในปากเคยอยากถ่ม

หากฝาดขมสมานกลับหวานสิ้น

วูบอารมณ์จมลิ่วกับพลิ้วลิ้น

ต้องแดดิ้นด่าวโดยโอยอาอือ

 

ถึงอ่อนเพลียเปลี้ยอยู่ย่อมรู้สึก

ได้แต่อึกอักว่าอย่าดึงดื้อ

หากระบำรำริ้วจากนิ้วมือ

ยิ่งกระพือไฟโหมเข้าโลมลาม

 

อนิจจาตัวกูผู้สิ้นท่า

กลับซุกหน้าพร่าเพียงแผ่วเสียงห้าม

ยิ่งระลึกหน้าชายเมื่อบ่ายยาม

กลับดาลตามเปลวไฟไหม้คึกคึก