บทวิเคราะห์ : (เมื่อ14ตุลา) ขวาหัน

คอลัมน์ในประเทศ ขวาหัน

การชุมนุมของคณะราษฎร 2563 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมนั้น

ต้องถือว่า กลุ่ม “ขวา” ที่มีแนวคิดเชิงจารีตและอนุรักษนิยม

ออกมาแสดงบทบาทขัดขวาง “การชุมนุม” อย่างเปิดเผย พร้อมหน้าพร้อมตา

และในทุกแนวรบ

นี่อาจจะกลายเป็นโมเดลในการตอบโต้กลับ “กลุ่มปลดแอก” อย่างเป็นระบบต่อจากนี้

เริ่มจาก เมื่อรู้ว่าคนเสื้อแดงอาจเป็นฝ่ายเติม “มวลชน” ให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง

ก็ได้ใช้กลไก “เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย” ทะลวงเข้าไปยังหมู่บ้านคนเสื้อแดง

เพื่อสลายและดึงคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นพวกในทุกวิถีทาง

จึงทำให้เห็นปรากฏการณ์ของ “เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย” ในเกือบทุกภาค ไม่ว่าอีสาน ใต้ ตะวันออก

ออกมาล้มหมู่บ้านคนเสื้อแดง

และประกาศไม่เข้าร่วมการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม

โดยมีเหตุผลสอดคล้องกันคือ ไม่ต้องการให้มีใครมาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมของคณะราษฎร 2563 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563

การลุกขึ้นมาแสดงจุดยืนอย่างสอดประสานกันของเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทยนี้

แม้จะพยายามทำให้เป็นการลุกขึ้นมาโดยสมัครใจเอง

กระนั้น น่าสังเกตว่า นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ออกโรงบอกว่า ในฐานะอดีตแกนนำ นปช.รู้สึกดีใจและขอบคุณอดีตคนเสื้อแดงและเครือข่ายสมาชิกอดีตหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย ทุกภาค ทุกจังหวัด ที่ประกาศจุดยืนจะไม่มาร่วมการชุมนุม พร้อมกับแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องก้าวล่วงสถาบัน เพราะคนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยมีจุดยืนคือปกป้องเทิดทูนสถาบันอย่างแท้จริง

“เชื่อมั่นว่าใครที่ไปอวดอ้างเสื้อแดง ร่วมชุมนุมกับกลุ่มคณะราษฎร นั้นถือว่าแดงเหล่านั้นเป็นแดงไม่รักประชาธิปไตย แดงไม่ปกป้องสถาบัน เพราะพวกเราที่เคยเป็นอดีตคนเสื้อแดงที่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้น พวกเราทุกคนไม่ว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ นายขวัญชัย ไพรพนา นายอานนท์ แสนน่าน และแกนนำอีกมากมายหลายคนมีจุดยืนชัดเจน นั่นคือเราเทิดทูนสถาบัน และพวกเราพร้อมที่จะปกป้องสถาบันไม่ให้ใครมาจาบจ้วง ก้าวล่วง แตะต้องสถาบันอย่างเด็ดขาด” แรมโบ้อีสานระบุ

ท่าทีของนายสุภรณ์ข้างต้น ก็น่าจะทำให้มองเห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างกันอยู่

นอกจากการมุ่งสลายมวลชน โดยพุ่งเป้าไปยังคนเสื้อแดงแล้ว

อีกเป้าหมายหนึ่งที่มีการตั้งข้อสงสัยกันในฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มราษฎร 2563 นั่นคือ การชุมนุมมีพรรคการเมืองหนุนหลัง

นั่นก็คือพรรคก้าวไกล

ซึ่งในประเด็นนี้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องหรือชี้นำการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมใดๆ

เพราะการจัดการและการเคลื่อนไหวการชุมนุมเป็นหน้าที่ของแกนนำและทำตามมติของผู้ชุมนุมเองที่จะดำเนินการแบบอิสระ

ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติการสั่งการใดๆ ของพรรคก้าวไกล หรือองค์กรใด

แม้จะมีการปฏิเสธจากโฆษกพรรคก้าวไกล

แต่กระนั้น เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปรากฏกลุ่มศูนย์ปกป้องสถาบัน (ศปปส.) พร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง จัดขบวนแรลลี่ “เชิญธนาธรพ้นประเทศไทย” โดยเริ่มจากหน้าสมาคมชาวปักษ์ใต้ ถนนกาญจนาภิเษก สู่จุดหมายอาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อประกาศจุดยืนไม่ให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มก้าวหน้า ใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือในการล่วงเกินสถาบัน

นายจักรพงษ์ กลิ่นแก้ว แกนนำ ศปปส.บอกว่า ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มได้เคลื่อนขบวนเพื่อมากดดันนายธนาธรแล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบและนิ่งเฉย จากนั้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา นายธนาธรได้ไปพูดในงานเสวนาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอกย้ำและยืนยันการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งเห็นว่าการกระทำของนายธนาธรไม่เหมาะสม เพราะสถาบันคือศูนย์รวมจิตใจของประชาชน หากนายธนาธรคิดจะปฏิรูปหรือแตะต้อง มีประชาชนอีกหลายคนไม่เห็นด้วย

ศปปส.จึงมาแสดงจุดยืนเรียกร้องกดดันให้นายธนาธรออกมารับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำ ด้วยการเดินทางออกไปจากประเทศไทย

นอกเหนือจากการสกัด “มวลชน” คือคนเสื้อแดง และการมุ่งโจมตีไปยังพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้สนับสนุน “ทุน” แล้ว

การชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม ได้ทำให้ “ปีกขวา” จากเดิมที่อยู่ที่ตั้ง แต่คราวนี้ออกมาแสดงบทบาทอย่างเต็มตัว และแข็งกร้าว

เริ่มจาก พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ที่นอกจากโพสต์เชิญชวนให้ประชาชนไปรับเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่วัดพระแก้ว โดยนัดหมายที่สะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว

ยังโพสต์ข้อความอย่างดุเดือดว่า

“ถ้าไม่ใช่เพราะพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวฯ…ผมจะเริ่ม ‘ปฏิบัติการเก็บขยะแผ่นดิน’ ความรู้สึกของผม ณ เวลานี้ บอกตรงๆ ว่า ‘รู้สึกเหลืออด’ มานานมากแล้ว แต่ก็ต้องอดทนอดกลั้น …หากไม่สามารถอดทนอดกลั้นจน ‘ปฏิบัติการเก็บขยะแผ่นดิน’ เริ่มขึ้นแล้ว ผมขอน้อมรับอาญาแผ่นดินโดยไม่ขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะ ‘ปฏิบัติการเก็บขยะแผ่นดิน’ ของผมเป็นการขัดพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัวฯ…แต่หากสถานการณ์จำเป็นต้องแตกหักโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ผมขอเรียนให้พสกนิกรผู้จงรักภักดีทราบทั่วกันว่า ผมจะขัดพระราชประสงค์เพื่อปฏิบัติการเก็บขยะแผ่นดิน”

เช่นเดียวกับนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเช่นเดียวกันว่า

“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นรากเหง้า แก่น แกนกลางของสังคมไทยมาอย่างยาวนาน เป็นเวลาหลายร้อยปี

มาวันนี้ กลับมีคนไทยเชื้อสายจีนบางคนที่บรรพบุรุษซัดเซพเนจรมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของราชวงศ์จักรี จนร่ำรวยเป็นหมื่นล้าน

กลับออกมาแสดงความอกตัญญูประกาศจะปฏิรูป ด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีแต่ให้ประโยชน์แก่พสกนิกรของพระองค์มาเป็นเวลายาวนาน

ในทางกลับกัน คนที่ประกาศจะปฏิรูป ด้อยค่าสถาบันไม่เคยเห็นให้ประโยชน์อะไรแก่แผ่นดินไทยนี้เลย

หากคนไทยยังเอาแต่นิ่งเฉย ปล่อยให้คนกลุ่มนี้เหิมเกริมล้างผลาญ บ่อนทำลาย ด้อยค่าสถาบันซึ่งถือว่าเป็นหลักชัยหลักใจของสังคมไทย

นั่นเท่ากับเราท่านทั้งหลายกำลังละเลยต่อหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าคนไทยทุกคนมีหน้าที่จะต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ฉะนั้น วันที่ 14 ตุลาคมนี้ พวกเราคนไทยหัวใจรักชาติ อดีตสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จะใส่เสื้อเหลืองไปรวมตัว ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 จนถึงถนนราชดำเนินให้เต็มทุ่งท้องสนามหลวงให้สว่างไสวไปด้วยสีเหลืองจากความจงรักภักดี และแสดงพลังปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวไทย”

ขณะเดียวกัน น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม กลุ่มไทยภักดี อดีตสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ประกาศไปร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จฯ ทรงตั้งเปรียญธรรม แก่ภิกษุ สามเณร 363 รูป หน้าวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 นี้

พร้อมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และผู้ร่วมก่อตั้งพรรค รปช. ได้ไปเฝ้าฯ รับขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ที่อ้างว่ามาในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามพรรค มาเพื่อแสดงความจงรักภักดี

ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น

 

ถือเป็น ออกโรงโดยพร้อมเพรียงของปีกฝ่ายขวา ที่เชื่อว่าคงก่อรูปเป็นแนวร่วมหรือขบวนการที่ชัดเจนมากขึ้น

เพื่อที่จะรุกต่อผู้ชุมนุมคณะราษฎร 2563 ที่มีการประเมินว่า ไม่ได้เหนียวแน่นเช่นเดิม

โดยคาดหมายว่า จำนวนผู้เข้าร่วมการเคลื่อนไหว ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่น่าจะเกินหมื่น

ภายใต้ความเชื่อมวลชนรับไม่ได้จากข้อเสนอซึ่งสรุปกันว่าสะท้อนลักษณะ “เลยธง” ในทางการเมือง

โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์

ดังนั้น เมื่อรุกเข้าไปสลาย “คนเสื้อแดง”

และพยายามเชื่อมโยง “เปิดโปง” ไปยังทุนและการสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า เป็นด้านหลัก

พร้อมกันนั้น ยังมีกลุ่มเหยี่ยว อย่างการประกาศ “เริ่มปฏิบัติการเก็บขยะ” ออกไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคณะราษฎร

ซึ่งอาจจะทำให้กลุ่มราษฎรที่ประเมินว่า “เปลี้ย” ลงแล้ว ฝ่อตัวลงอีก

ดังนั้น ปรากฏการณ์ “ขวาหัน” ด้วยการเพิ่มแรงกดดัน แบบ “ปิดล้อม” ในทุกด้าน จึงบังเกิดขึ้นอย่างน่าระทึกใจ

 

อย่างไรก็ตาม การชุมนุมจริงในวันที่ 14 ตุลาคม ออกมาไม่เป็นดังที่ปีกขวาคาด

เพราะกลุ่มมวลชนของคณะราษฎร 2563 มาชุมนุมมากกว่าฝ่ายความมั่นคงที่ประเมินว่าไม่น่าจะถึงหมื่นคน

ทำให้สามารถเคลื่อนพลจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ

ทำให้ปีกฝ่ายขวาที่คาดหวังจะปิดล้อมให้คณะราษฎร 2563 อยู่ในพื้นที่จำกัดไม่บรรลุเป้า

กลายเป็นเพียงฝ่ายสังเกตการณ์ และต้องถอยร่นกลับไป ปล่อยให้คณะราษฎร 2563 เคลื่อนไหวตามเป้าหมาย

ซึ่งหลังจากนี้ ฝ่ายปีกขวาที่ออกมาพร้อมหน้ากันคราวนี้ คงต้องทบทวน “ยุทธวิธี” กันมากพอสมควร

ท่ามกลาง “สัญญาณ” ที่ไม่น่าวางใจนัก เพราะแม้ต่างฝ่ายต่างจะพยายามควบคุม “มวลชน” ของตนเอง

แต่การเผชิญหน้ากันโดยตรง ทำให้เกิดการปะทะด้วยกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย

ซึ่งหากกระแส “หันขวา” ปรับยุทธวิธีให้แรงขึ้น

โอกาสที่จะเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์และการนองเลือดก็สูงขึ้น!