ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ระบอบประยุทธ์กับกองหนุนทางสังคมที่เรียวแคบลง

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

รัฐธรรมนูญ 2560 คือหัวใจของการสืบทอดอำนาจระบอบประยุทธ์ในเสื้อคลุมของการปกครองแบบนิติรัฐและระบอบประชาธิปไตย หรือพูดตรงๆ คือรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือที่คุณประยุทธ์ใช้ให้ตัวเองเป็นใหญ่เหนือทุกสถาบันอย่างที่เป็นตั้งแต่ปี 2557 เพียงแต่ไม่ให้โจ่งแจ้งจนคนด่าทอ

คนจำนวนมากชี้ให้เห็นความห่วยของรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่ช่วงประชามติรัฐธรรมนูญ แต่ด้วยการใช้กระบอกปืนและกฎหมายปิดปากคนเห็นต่างจนสังคมได้ข่าวสารด้านเดียว คุณประยุทธ์ ประสบผลสำเร็จในการใช้ประชามติห่วยๆ อุ้มรัฐธรรมนูญห่วยๆ ที่ทำให้ประเทศวุ่นวายจนปัจจุบัน

ในฐานะคนที่ถูกสัมภาษณ์หรือต้องแสดงความเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญ 2560 ในช่วงร่างอย่างต่อเนื่อง ผมจำได้แม่นยำว่าการวิจารณ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้ผมถูก กสทช. สั่งลงโทษอย่างน้อยสองครั้ง ถูกสั่งจอดำในช่องต่างๆ อย่างต่ำสามครั้ง และการสนทนาเรื่องนี้ในทีวีสาธารณะแทบล่มกลางจอ

รัฐธรรมนูญ 2560 คือลูกชั่วที่เกิดจากเผด็จการ คสช. ซึ่งปกครองประเทศเหมือนมาเฟียคุมเขตอิทธิพลแล้วตั้งลูกที่ไม่ได้เรื่องมาคุมประชาชนทั้งหมด ผลก็คือลูกคุมใครไม่ได้ ความน่านับถือไม่มี ยิ่งอยู่คนยิ่งต่อต้าน ยิ่งนานคนยิ่งรังเกียจ และยิ่งใช้คนยิ่งคับแค้นจนแช่งให้พังทั้งพ่อและลูกไปเลย

รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกอวยโดยผู้ร่างว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปราบโกง” แต่แค่ใช้เพียงสามปี คนทั้งประเทศก็เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เอื้อโกงอำนาจและโกงเงินประชาชนมากที่สุด ผลก็คือตอนนี้แทบไม่มีใครปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยกเว้นนักการเมืองคุณภาพต่ำในวุฒิสภาและพรรครัฐบาล

โดยปกติคนร่างรัฐธรรมนูญน่าจะเป็นคนที่แอ่นอกโต้เสียงวิจารณ์รัฐธรรมนูญ แต่ด้วยความห่วย ของรัฐธรรมนูญที่ทำให้เกิดวิธีเลือกตั้งห่วยๆ จนได้เสียงข้างมากแบบห่วยๆ และรัฐบาลห่วยภายใต้ผู้นำห่วยๆ แม้แต่คณะกรรมการร่างชุดคุณมีชัยก็หดหัวจนไม่มีใครปกป้องรัฐธรรมนูญนี้เลย

รัฐธรรมนูญ 2560 มีผู้สนับสนุนทางสังคมเรียวแคบลงเหมือนระบอบประยุทธ์ที่มีผู้สนับสนุนทางสังคมลดลงเรื่อยๆ จนน่าสงสัยว่าการจรรโลงรัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญนี้อาจเหลือทางเลือกเพียงแค่การใช้สภาแบบเสียงข้างมากลากไป หรือไม่อย่างนั้นก็คือกระบอกปืน

แก่นสารของรัฐคือความสามารถทางการปกครอง (Governmentality) และด้วยสภาพความเป็นจริงของประเทศในตอนนี้ ความสามารถในการปกครองของรัฐบาลกำลังเสื่อมถอยอย่างต่อเนื่องจนมองไม่เห็นอนาคตของระบอบประยุทธ์และเครือข่ายต่อไป

ระบอบประยุทธ์สร้างการเมืองเลวตั้งแต่ปี 2557 โดยอ้างว่ารัฐบาลเผด็จการก็สามารถทำให้ชาติเจริญ แต่ทางเดียวที่ใครจะบอกว่าประเทศในปี 2563 ดีกว่าปี 2557 ได้ก็ต้องอาศัยสารกล่อมประสาทจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางกลบความจริงที่การเมืองเลวสร้างเศรษฐกิจเลวและสังคมเลวจนปัจจุบัน

จริงอยู่ว่าในสังคมไทยอาจมีคนบางกลุ่มที่ชอบประชาธิปไตยน้อยกว่าเผด็จการ แต่ต่อให้เป็นคนที่คลั่งเผด็จการก็คงไม่กล้าพูดว่าคุณประยุทธ์ทำให้เศรษฐกิจและสังคมไทยดีขึ้นทุกกรณี

ในเงื่อนไขแบบนี้ ยุทธวิธีของกองหนุนประยุทธ์ในการอวยนายจึงเหลือแค่การด่าทักษิณ, ด่าธนาธร และด่านักศึกษาเท่านั้นเอง

นักทฤษฎีการเมืองบางคนเห็นว่าการเมืองคือการหาพวกโดยวิธีสร้างศัตรูร่วมกัน แต่ในสังคมที่ฝ่ายทักษิณชนะเลือกตั้งทุกครั้งหลังปี 2544 และคนรุ่นใหม่สนับสนุนธนาธรกับนักศึกษาอย่างกว้างขวาง การที่รัฐบาลสาดความเป็นศัตรูใส่คนกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องคือการทำให้คนส่วนใหญ่มองรัฐบาลเป็นศัตรูอย่างต่อเนื่องโดยปริยาย

คุณประยุทธ์แสดงออกหลายครั้งว่ายึดถือจอมเผด็จการในอดีตอย่างจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นแบบ แต่ขณะที่งานวิชาการจำนวนมากตีแผ่ว่าจอมพลสฤษดิ์จรรโลงอำนาจเหนือมวลชนโดยมีกองหนุนทางสังคมอย่างสถาบัน, สหรัฐอเมริกา และเจ้าสัว คุณประยุทธ์เวลานี้กลับไม่มีกองหนุนทางสังคมเลย

‘เจ้าสัว’ สนับสนุนคุณประยุทธ์ในช่วงแรกเพราะหวังว่านโยบายแจกเงินจะเอื้อประโยชน์ในการทำมาหากิน แต่หกปีของการเป็นพันธมิตรกับคุณประยุทธ์ทำให้คำว่า ‘เจ้าสัว’ ซึ่งเคยหมายถึงคหบดีจีนใจการุณย์เป็นแค่ ‘เถ้าแก่’ หรือ ‘พ่อค้า’ ที่วิ่งเต้นเกาะกินนโยบายรัฐจนไม่เหลือความน่านับถือเลย

คนไทยบางประเภทชอบสอพลอคนรวย แต่คนรวยที่จะถูกนับถือต้องแสดงตัวว่าเหนือกว่าคนรวยคนอื่นโดยให้ทานแบบพระวัสเสนดรเสมอ ขณะที่หกปีของการสนับสนุนคุณประยุทธ์ทำให้ ‘เจ้าสัว’ เป็นสัญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำ การเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ และการกอบโกยเงินทองจากงบที่อ้างว่าช่วยคนจน

ต่อให้ในความเป็นจริงจะมีเจ้าสัวหนุนหลังคุณประยุทธ์เพื่อประจบหรือหวังผลประโยชน์ตรงๆ แต่ความพังพินาศทางเศรษฐกิจและความตระหนักว่ารัฐบาลคือฝ่ายตรงข้ามคนส่วนใหญ่ทำให้ ‘เจ้าสัว’ ไม่กล้าออกตัวหนุนคุณประยุทธ์ชัดๆ จนคุณประยุทธ์ไม่เหลือเจ้าสัวคนไหนให้ใช้สร้างภาพอีกเลย

สหรัฐไม่ได้สนับสนุนเผด็จการประยุทธ์เท่าเผด็จการสฤษดิ์ เพราะประเทศไทยวันนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศลดลง ส่วนระบอบประยุทธ์ก็ไร้อำนาจต่อรองจนสหรัฐเคาะกะลาก็แอ่นอกรับสนองทุกอย่าง การมีความสัมพันธ์กับไทยแบบห่างๆ จึงเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐมากกว่าการหนุนเต็มตัว

จีนหนุนเผด็จการไทยมากกว่าสหรัฐ แต่ภาพลักษณ์จีนในสายตาคนไทยคือเป็นมหาอำนาจที่เอารัดเอาเปรียบ ทำกับคนไทยเหมือนอาณานิคมทางการค้าและการลงทุน หากินกับการค้าเรือดำน้ำและรถถังที่คนด่าทั้งประเทศ การประจบจีนจนมีจีนหนุนหลังจึงเป็นภัยกับเผด็จการมากกว่าจะเป็นคุณ

สถาบันเป็นเรื่องที่คุณประยุทธ์มักใช้เป็นข้ออ้างจรรโลงอำนาจเผด็จการและโจมตีประชาชน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วิธีที่รัฐบาลส่งตำรวจ, ทหาร และเจ้าหน้าที่อ้างสถาบันไปคุกคามคนเห็นต่างถึงบ้านและโรงเรียนทำให้เกิดปัญหามวลชนมากขึ้นจนส่งผลอันตรายกับทุกคน

หนึ่งเดือนของปรากฎการณ์ที่นักศึกษาปราศรัย “ทะลุเพดาน” ทำให้รัฐบาลฉวยโอกาสแสดงอำนาจมากมาย และหนึ่งในรูปแบบการแสดงอำนาจที่น่ารังเกียจที่สุดคือการส่งเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจไปคุกคามเด็กมัธยมที่เห็นต่างกับรัฐบาลถึงโรงเรียนและบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ราวนักเรียนมัธยมเป็นศัตรู

แฮชแทก #เบญคอน สะท้อนความเละที่รัฐบาลสร้างปัญหามวลชนอย่างเหลือเชื่อ นั่นก็คือรัฐบาลส่งทหารไปอบรมเรื่องชาติและสถาบันที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช แต่เมื่อเด็กถามกลับถูกสั่งห้ามพูด เรียกผู้ปกครองเข้าพบ หักคะแนนความประพฤติ ทหารต่อยท้องแล้วอ้างว่าล้อเล่นกัน

ไม่ว่ารัฐบาลจะตั้งใจใช้สถาบันเป็นเครื่องมือปิดปากคนเห็นต่างหรือไม่ การกระทำของรัฐบาลก็ทำให้คนที่เชื่อแบบ “ทะลุเพดาน” มีจำนวนมากขึ้นทุกขณะ จนข้ออ้างนี้ไม่สามารถสร้างแรงสนับสนุนให้รัฐบาลได้อย่างที่รัฐบาลเข้าใจผิดๆ ตลอดมา

ยิ่งใช้วิธีจัดตั้งไทยภักดีหรือหนุนหลังแก้วสรรปลุกปั่นมวลชนเพื่อโจมตีนักศึกษาประชาชน ผลลัพธ์ที่ได้คือกระบวนการนี้ไร้พลังจนสกัดกระแสแก้รัฐธรรมนูญได้น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ‘สารรูป’ ของผู้โจมตียิ่งนานยิ่งถดถอยจนแทบไม่เหลือต้นทุนด้านความน่าเชื่อถือในสังคม

ความเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชนมีทิศทางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าต้องการพูดเรื่อง “ทะลุเพดาน” และจากวันที่ 10 สิงหาฯ ที่มีการพูดเรื่องนี้ที่ธรรมศาสตร์จนถึงชุมนุมใหญ่ 14 ตุลาฯ ที่ผู้จัดประกาศว่าทุกคนคือคณะราษฎร การโจมตีให้นักเรียนนักศึกษาหยุดพูดเรื่องนี้คือความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

สังคมไทยเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนความต้องการเปลี่ยนประเทศระยะยาว อุดมการณ์หลักถูกท้าทายด้วยคนมหาศาลอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน ชาติ-ศาสนา ฯลฯ ถูกตั้งคำถามจนโรงเรียนเป็นสมรภูมิที่ครูใช้อำนาจลงโทษนักเรียนเหมือนทหารตำรวจคุกคามประชาชน

พฤติกรรมข่มขูคุกคามบ่งชี้ว่ารัฐมุ่งกำจัดพลังที่ “ทะลุเพดาน” โดบฆ่าทิ้งเหมือนฆ่านักศึกษา 6 ตุลา 2519 และคนเสื้อแดงปี 2553 แต่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมคือฟังแล้วแยกให้ออกว่าต้นเหตุที่ทำให้เรื่องนี้ลุกลามคือความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อระบอบเผด็จการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

กระแสสูงของการต่อต้านพลเอกประยุทธ์เดินมาถึงจุดที่ไม่อาจถอยกลับไปได้อีก ไม่ว่าจะมีนักเรียนนักศึกษาที่พูดเรื่อง “ทะลุเพดาน” หรือไม่ พลเอกประยุทธ์คือนายกที่ไม่มีใครสนับสนุนอีก เพราะคนส่วนใหญ่หรือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” รังเกียจพลเอกประยุทธ์นานแล้ว ส่วนคนกลุ่มอื่นก็ไม่ต่างกัน

“นายกพระราชทาน” หรือ “รัฐบาลแห่งชาติ” เป็นข้อเรียกร้องที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่เห็นด้วยเลย การผลักดันเรื่องนี้จึงมาจากคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องประชาธิปไตย แต่แก่นของข้อเรียกร้องนี้คือการยอมรับตรงๆ ว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกต่อไปไม่ได้ และไม่เอาประยุทธ์ด้วยเช่นกัน

ระบอบประยุทธ์คือระบอบเผด็จการที่กองหนุนทางสังคมเรียวแคบลงเรื่อยๆ จนการสนับสนุนพลเอกประยุทธ์คือการประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนมหาศาลซึ่งไม่ได้มีแค่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่ยังรวมถึงฝ่ายซึ่งอาจไม่ได้สนใจเรื่องประชาธิปไตยหรือเผด็จการเท่าเรื่องอยากไล่นายกเฮงซวย

ไม่ว่าประเด็น “ทะลุเพดาน” จะทำให้การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษาเติบโตต่อไปหรือไม่ การสนับสนุนพลเอกประยุทธ์คือหนทางแห่งความสิ้นคิด เพราะกองหนุนพลเอกประยุทธเวลานี้เหลือวุฒิสมาชิกที่พลเอกประยุทธ์ตั้งเองและพรรคพลังประชารัฐซึ่งหวังเกาะพลเอกประยุทธ์ตั้งรัฐบาล

ความชอบธรรมทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ตกต่ำลงเรื่อยๆ ในเวลาที่คนซึ่งประกาศตัวหนุนพลเอกประยุทธ์เหลือแค่คนแบบคุณไพบูลย์, คุณเสรี, คุณปรีชา, คุณอนุชา, คุณปารีณา, คุณสุภรณ์ , คุณชัยวุฒิ ฯลฯ ซึ่งไม่มีพลังและบารมีพอจะชี้นำใครได้เลย

ระบอบประยุทธ์กำลังจะปิดฉากลงแล้ว ที่เห็นอยู่ในเวลานี้เหลือเพียงแค่ซากซึ่งจะดึงผู้สนับสนุนให้กลายเป็นซากเดนทางประวัติศาสตร์ไปด้วยกันเท่านั้นเอง