เปิดใจ “ไมค์ ระยอง” ลั่นกลองรบไล่บิ๊กตู่ ไม่ง่าย แต่ไม่ถอย

ตลอดการออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเหล่านักเรียน นักศึกษา และประชาชน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในแกนนำสำคัญที่ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างมวลชนมาโดยตลอด คือนายภาณุพงศ์ จาดนอก

หรือที่รู้จักกันในนาม “ไมค์ ระยอง”

แกนนำกลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย ผู้ที่เติบโตมาในครอบครัวที่ทำงานเชิงโครงสร้างในจังหวัดมาก่อน และต้องการที่จะพัฒนาจังหวัด และจัดการปัญหาเชิงสังคม

จนก้าวมาสู่บุคคลที่หลายคนยกย่องให้เป็น “นักต่อสู้รุ่นใหม่”

ซึ่งการันตีความเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยรางวัลที่ได้รับล่าสุด คือรางวัล “จารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อประชาธิปไตย”

ในงาน 44 ปี 6 ตุลา ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา

ไมค์ฉายภาพการต่อสู้ในแต่ละครั้งที่ต้องดำเนินไปตามขั้นตอนก่อนจะไปสู่ชัยชนะว่า การต่อสู้เป็นไปตามสเต็ป เราจะไปเรียกร้องทีเดียวแล้วให้สำเร็จไม่ได้ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว

เพราะฉะนั้น เราต้องขยันเก็บแต้มชัยชนะในกระบวนให้ได้เยอะที่สุด

รวมถึงวันที่ 19 และ 20 กันยายน ชัยชนะของเราคือการได้ฝังหมุดคณะราษฎรลงบนสนามหลวง

ชัยชนะของเราคือการที่เราสามารถที่จะขอเข้าไปยื่นปฏิรูปสถาบัน

สิ่งต่างๆ ที่เดินอยู่ในขบวนการในครั้งนี้มันค่อนข้างจะยาว และเป็นดาวกระจายในหลายพื้นที่

ถ้าสังเกตง่ายๆ จะเห็นว่า เรื่องแฟลชม็อบเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดของความตื่นตัวของผู้คนในการที่จะเข้าร่วมในขบวนการในครั้งนี้

จากแฟลชม็อบดาวกระจายในแต่ละจังหวัด จนมาสู่การรวมตัวที่เมืองหลวง ซึ่งใช้ระยะหลายเดือน และดูเหมือนจะ “ยืดเยื้อ” และยังมองไม่เห็นจุดจบของการชุมนุม

ไมค์ ระยอง เล่าว่า ไม่สามารถบอกได้ว่าจะยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน

เพราะว่าไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกเรา แต่มันอยู่ที่ตัวรัฐบาลด้วยว่าจะรับข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องของพวกเราหรือรับฟังเสียงของประชาชนแล้วหรือยัง

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าการเรียกร้องของเราเป็นเสียงที่มาจากประชาชนจริงๆ การเจรจาคงเกิดขึ้นนานแล้ว และคงไม่ยืดเยื้อมาขนาดนี้

โดยสิ่งต่างๆ ที่เราเรียกร้อง เป็นเพราะการปกป้องอนาคตของทุกๆ คน รวมถึงเพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้า

เราไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความขัดแย้ง หรือสร้างศัตรูกับใคร

เพราะเราถือว่า ไม่ว่าจะกับใครก็ตามก็เป็นประชาชนเหมือนกัน

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านเป็นมากกว่าประชาชนคือ ท่านมีหัวโขนของคำว่านายกรัฐมนตรี

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านสวมหัวโขนแล้ว ท่านจงปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่มากที่สุด

เนื่องจากเมื่อพูดถึงนายกรัฐมนตรี ก็ต้องบอกว่า เป็นผู้ที่จะต้องบริหารให้บ้านเมืองอยู่ดีมีสุข และพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ

แต่กลับกลายเป็นว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปี ท่านสร้างได้อย่างเดียวคือ สร้างความสงบ “สงบยันเศรษฐกิจ”

มันก็เป็นตัวชี้วัดแล้วว่าท่านไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง

สําหรับการชุมนุมใหญ่วันที่ 14 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ไมค์เล่าว่า เป็นการนัดรวมพลในรูปแบบการลงถนน บนถนนราชดำเนิน ซึ่งจะดูที่ตัวชี้วัดของมวลชนก่อน และอาจจะเป็นการลั่นกลองรบอย่างแท้จริง

เป็นการ “ลั่นกลอง” เพื่อไล่ พล.อ.ประยุทธ์

โดยถ้าสังเกตจากการประชาสัมพันธ์ในหลายกลุ่มจะเห็นการประกาศว่า วันที่ 14 ตุลาคม เวลาบ่ายสองโมง แต่ไม่ได้ประกาศวันจบ

เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ได้อยู่ที่พวกเราอย่างเดียวว่าจะชุมนุมยาวนานแค่ไหน มันต้องอยู่ที่ตัวรัฐบาลด้วยว่าเขาจะรับฟังเราตอนไหน

เมื่อถามต่อว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ลาออกก่อนวันที่ 14 ตุลาคม การชุมนุมจะจบหรือไม่

ไมค์ตอบว่า ก็ต้องดูว่ามีเงื่อนไขอะไรหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ยังตอบไม่ได้ และมันเป็นไปได้ยาก

ถ้าลาออก ลาออกไปนานแล้ว การประท้วงและการชุมนุมไม่ได้เพิ่งจะมีวันที่ 14 ตุลาคม

เมื่อถามย้ำว่าอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” ไมค์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ลาออก

เราไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งบริบทอะไรเลย ทำอย่างไรก็ได้ที่ไม่ใช่การบริหารประเทศจากบุคคลเหล่านี้ และจะทำวิธีไหนก็ได้ที่จะต้องทิ้งอำนาจคุณได้แล้ว

คุณต้องกลับไปเลี้ยงหลาน รับเบี้ยผู้สูงอายุ หรือรับบำนาญของคุณได้แล้ว

การที่ยังไม่สามารถประเมินถึงความเป็นไปได้ที่ผู้มีอำนาจจะยอมรับข้อเรียกร้อง หรือความยืดเยื้อของการชุมนุม ก็มีข้อสงสัยว่า แล้วจุดสำเร็จของการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคมนี้จะวัดจากอะไร

ไมค์ตอบว่า จุดสำเร็จคือการที่มีนักเรียน-นักศึกษาออกมาแสดงจุดยืนร่วมกันมากที่สุด ล้นหลามมากที่สุด คือจุดสำเร็จแรกเลย

ส่วนจุดที่สองสามสี่ ต้องไปดูสถานการณ์อีกที

เอาจริงๆ ผมมองว่า ถ้ามวลชนมาแค่ 10 คน แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ฟังเสียงประชาชนจริงๆ ท่านก็ควรรู้และคิดวิเคราะห์ได้แล้ว ตอนนี้เหมือนดึงเกมให้ประชาชนออกมาเยอะๆ เพื่อที่จะได้ลงแบบสง่างามหรือไม่ ยอมลาออกเพื่อประชาชนทุกคนที่มาเรียกร้องหรือไม่ หรือหาทางลง เพื่อเป็นข้ออ้างของตัวเองว่าทำเพื่อความสงบเรียบร้อย

 

ถ้าพูดตรงๆ ก็ “นายกฯ สร้างภาพ”

การที่ลาออกควรยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกระทำผิดจริงๆ

สำหรับการชุมนุมในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ ทำให้อาจจะมีข้อกังวลในเรื่องการบริหารจัดการและการรับมือของกลุ่มนักศึกษาที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนักในการชุมนุมแบบยืดเยื้อ

ไมค์ก็ยอมรับว่ามีความกังวลอยู่แล้ว ทุกคนกังวลหมด เพราะเมื่อมวลชนมา สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัย

เรากังวลมาก ไม่รู้ว่าใครจะสร้าง เพราะประเทศไทยมีบุคคลเหล่านี้เยอะมาก แต่ให้รู้ไว้ทั่วกันว่าความรุนแรงต่างๆ จะไม่ได้เกิดขึ้นจากขบวนการนักศึกษา เพราะพิสูจน์มาแล้วจากหลายม็อบที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงความคาดหวังที่จะได้ แกนนำและนายกรัฐมนตรีจะมีโอกาสมาคุยกันถึงปัญหาของประเทศชาตินั้น ไมค์บอกว่า คาดหวังอยู่แล้ว เราเน้นเจรจาและเน้นความสงบสันติ เรารับฟังด้วยเหตุผล แต่เราไม่เคยได้รับแบบนั้นเลย มันจึงเป็นความหวังแบบน้อยมากๆ แต่ไม่แน่ อาจจะเป็นความหวังน้อยๆ ที่สำเร็จก็ได้

หลังจากเข้ามาสู่ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ชีวิตของไมค์ก็เปลี่ยนไป จนหลายคนเรียกเขาว่าเป็น “นักต่อสู้รุ่นใหม่” ไมค์กล่าวว่า ขอกล่าวขอบคุณทุกคนที่เห็นเราเป็นนักต่อสู้ แต่ก็อยากจะทำความเข้าใจกับทุกคนว่า ตนก็คนธรรมดาเหมือนกัน ถ้าเราเรียกร้องความเท่าเทียมของคน ทุกคนเท่าเทียมกัน เราไม่ควรยกย่องใครคนใดคนหนึ่งให้เป็นวีรบุรุษในหมู่มวลชน เพราะทุกคนเท่ากัน

“ถึงไม่ยกเราเป็นวีรบุรุษ แต่เราก้าวมาจุดนี้แล้ว สิ่งต่างๆ มันคือหน้าที่ของเราที่จะขับเคลื่อนร่วมกันไป ถึงผมจะไม่ได้มาเป็นผู้ปราศรัย หรือมาเป็นแกนนำอะไร ผมก็ยังขับเคลื่อนในเรื่องการทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่สวยงาม เดินหน้าไปข้างหน้าให้ได้”