ศัลยา ประชาชาติ : อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ขุนคลัง คู่บารมี “ประยุทธ์” ภารกิจตอบโจทย์วิกฤติ-ผ่าทางตัน

กระทรวงการคลัง-ดินแดนที่หนี้สาธารณะสูงสุดในประวัติการณ์ อีกแค่คืบ ไม่ถึง 3% ก็จะทะลุเพดาน 60% ต่อจีดีพี ตามกฎหมายที่ประเทศจะก่อหนี้ได้

ดินแดนที่อัตราการจัดเก็บรายได้จาก 3 กรมภาษี ลดไปแล้วกว่า 2 แสนล้าน ในช่วง 8 เดือนของปีนี้

ขณะที่บรรดารัฐวิสาหกิจในกำกับ-รัฐวิสาหกิจเกรดเอ ก็อยู่ในภาวะเก็บกำไรไม่ได้เป็นกอบเป็นกำ มีทั้งเข้าสู่ศาลล้มละลายไปแล้ว และตามหลังกันเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นทิวแถว

เครดิตรวมของรัฐบาลอยู่ในสถานะที่มวลชนส่ายหน้า

การตามหา-เจรจารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ จึงทอดเวลามากว่า 1 เดือน

 

ทว่าหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลัง เสียงนักธุรกิจก็ดังประสานขึ้นกับเสียงสนับสนุนในรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มี “อาคม” เป็นคู่คิดมาตั้งแต่ยุคประยุทธ์ 1 ออกปากการันตี “เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ เป็นผู้ทำงานอยู่ตลอด ใฝ่รู้งานรู้การเป็นอย่างดี สามารถทำงานกับฝ่ายการเมืองได้ด้วย”

เพราะแม้ว่าหน้างาน “อาคม” หมดวาระ ตั้งแต่ในวันที่คณะรัฐมนตรีชุดประยุทธ์ 2/1 เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 แต่ก่อนหน้านั้น 2 วัน เขายังลงพื้นที่ข้างถนนหลวง เส้นสุขุมวิท จ.ตราด

ด้วยการทำงานตอบสนองนายกรัฐมนตรีได้ทุกที่-ทุกเวลา เป็นที่ประจักษ์แก่พันธมิตรธุรกิจเอกชนที่ร่วมทำงานคู่ขนาน อาทิ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่บอกว่า “มั่นใจในผลงานของนายอาคม เชื่อว่าเป็นบุคคลที่เห็น-เข้าใจภาพเศรษฐกิจมหภาค การเข้ารับตำแหน่ง รมว.คลังของนายอาคมจะมีส่วนสำคัญยิ่งในการแก้ไขปัญหาของประเทศ”

สอดคล้องกับเสียงตอบรับของนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า “นายอาคมเหมาะสมที่จะเป็น รมว.คลังคนใหม่” ขณะที่แนบท้ายข้อเสนอ การต่อลมหายใจธุรกิจตั้งแต่ระดับ SMEs ไปจนถึงธุรกิจใหญ่-กิจการสายการบิน ให้เข้าถึงแหล่งทุน

ไม่ต่างไปจากความเห็นของผู้บริหารในกลุ่มตลาดทุน ตลาดเงิน ที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า นายอาคมมีประสบการณ์ครอบคลุมพอที่จะเป็น “ขุนคลัง” ในยุคที่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในแดนลบ-ในภาวะที่ผันผวน

ซึ่งมีเสียงของนายกรัฐมนตรีตั้งการ์ดประกาศไว้ตั้งแต่วันที่มีชื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้วว่า “นายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว”

 

ประวัติ-คุณสมบัตินอกแฟ้มที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น มาจากปากของนานาทีมงาน-คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี

ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยในรัฐบาลยุค “ประยุทธ์ 1” เขาเป็นบุคคลที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจในการสอบทานข้อมูล-ตัวเลขด้านเศรษฐกิจมาตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เขาคือรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ “นอกทีมสมคิด” และยืนระยะห่างจากพรรคพลังประชารัฐ

ทว่าเป็น 1 ในรัฐมนตรี “โควต้ากลาง-สายตรง” ของนายกรัฐมนตรีตลอด 4 ปี

ถึงแม้พ้นตำแหน่งไปแล้ว แต่ยังได้ร่วมปรึกษาหารือกับนายกรัฐมนตรีในหลายครั้ง ในหลายรูปแบบ สามารถตอบสนองและเติมเต็มในการตัดสินใจในหลายโครงการต่อเนื่องตลอด 1 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ 2/1-2/2

“อาคม” ตอบโจทย์ ตัดปัญหา-ข้ออ้าง ที่นายกรัฐมนตรีถูกปฏิเสธ จากบรรดานักธุรกิจมืออาชีพและเทคโนแครตทั้งปวง ที่ว่า “คนที่บ้านเป็นห่วง” เพราะเขามีคุณสมบัติสำคัญตรงกับนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเป็นญัตติสาธารณะหลังดีลจบ คือ “เป็นคนที่บ้านไม่ห่วงเกินไปมากนัก” เพราะเขาครองตัวเป็นโสดหลังจากภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน

เพราะสไตล์นายกรัฐมนตรี ชอบอ่านข้อมูล รายละเอียด แนววิเคราะห์โครงการ และการชี้ให้เห็นปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบ อ่านเข้าใจง่าย ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งในกระดาษและจอกระจก ส่งพร้อมสำหรับการตัดสินใจในวาระที่สำคัญ ทั้งในการประชุมคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการบริหารระดับชาติ ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

เหล่านี้ “อาคม” ตอบการบ้านให้นายกรัฐมนตรีได้ทุกเมื่อ หามรุ่ง-หามค่ำ

แผนแม่บท-เมนูลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ทั้งทางบก-ทางเรือ-อากาศ ถูก “อาคม” จัดวางไว้สำหรับการบริหารต่อเนื่องตั้งแต่ยุคประยุทธ์ 1-2 ในเวลานี้เป็นคู่มือของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

 

โปรไฟล์ “อาคม” ก่อนเป็นรัฐมนตรีที่อยู่ในรัฐนาวารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเป็นลูกหม้อสภาพัฒน์ ที่คร่ำหวอดดัชนี-ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งเรียลเซ็กเตอร์ ภาคเกษตร อุตสาหกรรม ครบเครื่องทั้งสายงานแม็กโครอีโคโนมิกส์ และวิเคราะห์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

ขึ้นเป็นเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจของประเทศ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อเนื่องยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

หลังรัฐประหาร 2557 เขาถูกแต่งตั้งตามตำแหน่งข้าราชการพลเรือนเทียบเท่าระดับปลัด เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

แม้ว่าเขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกลับไปเกษียณอายุราชการที่สภาพัฒน์ แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต “อาคม” ถูกดีลให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเขาต้องเลือกเป็น “ข้าราชการการเมือง”

“อาคม” ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมไปยังย่านราชดำเนินใน ขึ้นแท่นเป็นรัฐมนตรีช่วย แล้วต่อด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาล คสช. สังกัดทีมเศรษฐกิจที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และทีมตึกไทยคู่ฟ้า

“อาคม” วัย 64 ปี เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2499 ที่จังหวัดศรีสะเกษ จบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ จากวิทยาลัยวิลเลียม

ชีวิตราชการที่กำลังรุ่งโรจน์ ทำให้เขาต้องเลือกระหว่างการไปต่อในดีกรีด๊อกเตอร์ ซึ่งใกล้จบการศึกษา กับการกลับมาเมืองไทยเพื่อรับตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานหัวใจของสภาพัฒน์

ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 9 “ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับเขาเรื่องหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เขายึดเป็นหลักชัยและแรงบันดาลใจในการทำงานมาโดยตลอด

เขาบอกว่า เขายึดแนวทางพระราชดำริเรื่อง “การปิดทองหลังพระ ทำงานไม่จำเป็นต้องออกหน้า ถ้าคิดว่างานที่เราทำเป็นประโยชน์ส่วนรวมอยู่เบื้องหลัง เป็นฟันเฟืองของกลไกทั้งหมด ถ้าฟันเฟืองเล็กไม่เดิน ฟันเฟืองใหญ่ก็ไปไม่ได้”

“ความเพียรพยายาม แม้ว่างานจะยากแค่ไหนก็ต้องทำ เมื่อเราเห็นเป้าหมาย ซึ่งอาจจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ถ้าไม่มีความพยายามในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ก็ทำไม่สำเร็จ”

“ความเรียบง่าย ได้จากพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่าน สอนให้คนรู้จักประหยัด ใช้ในสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย ความเรียบง่าย ชีวิตพระองค์ท่านเหมือนคนธรรมดา เราเองต้องทำตัวไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ ทำงานให้ติดดิน”

 

ชีวิตข้าราชการพลเรือน-ข้าราชการการเมือง “อาคม” ไม่เคยห่างจากกิจการบ้านเมือง วันนี้เขาจึงยังอยู่คู่บารมีรัฐบาล “ประยุทธ์ 2/3”

หากยึดคำประกาศการันตีของนายกรัฐมนตรี และเสียงตอบรับเชิงบวกของธุรกิจทั่วทิศทาง การที่ “อาคม” เลือกขึ้นเป็น รมว.คลัง จึงนับเป็นพันธะ-ภารกิจที่ท้าทายต่อชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง

เป็นความหวัง เป็นแสงสว่างสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ท่ามกลางโจทย์ที่ยาก ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์และประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้