คุยกับทูต คีริลล์ บาร์สกี้ ประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำ ในความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย (5)

ย้อนอ่านตอน 4  3  2  1

“ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษของเอเชีย เมื่อเราพูดเกี่ยวกับภูมิภาคเอเชีย จุดสนใจก็จะไปอยู่ที่อาเซียน ซึ่งเป็นประชาคมที่กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ก่อให้เกิดการลงทุนทางเศรษฐกิจใหม่ และเป็นเครือข่ายทางการเงินและฐานเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งรัสเซียและองค์กรทางเศรษฐกิจที่เราเป็นสมาชิก สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วย รัสเซียจึงมีนโยบายระยะยาวที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญกับประเทศในเอเชียแปซิฟิก”

เป็นคำกล่าวของเอกอัครราชทูตรัสเซีย นายคีริลล์ บาร์สกี้ (His Excellency Kirill Barsky)

 

ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอาเซียน

“สําหรับรัสเซีย อาเซียนเป็นพันธมิตรที่สำคัญมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน เราเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเวียดนาม เป็นเพื่อนเก่าแก่กับลาวและกัมพูชา และเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และพม่า ซึ่งแน่นอนที่สุด รัสเซียต้องการเป็นทั้งพันธมิตรและหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับทุกประเทศในอาเซียน”

รัสเซียหันกลับมามุ่งเน้นทางเอเชียมากยิ่งขึ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์ “U-turn to the East”

“เราเริ่มต้นความร่วมมือกับอาเซียนตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ดังนั้น ปี ค.ศ.2016 จึงเป็นปีที่มีความเป็นพิเศษเพราะครบรอบ 20 ปีแห่งความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย”

“ดังนั้น ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน จึงได้เชิญผู้นำอาเซียนทั้งหมดเข้าร่วมในการประชุมสุดยอดระหว่างรัสเซียกับอาเซียน (ASEAN-Russia Commemorative Summit) ที่เมืองตากอากาศโซชิ (Sochi) ระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม ค.ศ.2016 โดยยกระดับการเป็นพันธมิตรของอาเซียน-รัสเซีย ขึ้นสู่ระดับเดียวกับอาเซียน-จีน และอาเซียน-สหรัฐอเมริกา”

ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคม ปีเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตของสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศได้จัดแสดงผลงานศิลปะของทุกประเทศในงาน “สีสันแห่งอาเซียน” (All colour of Asia) ที่กรุงมอสโก

ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อให้วัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองภูมิภาค และเป็นการต่อยอดสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจยูเรเซีย

ทั้งนี้ อาเซียนซึ่งมุ่งเน้นความร่วมมือภายนอก ได้มีความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจา 10 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี รัสเซีย สหรัฐ สหภาพยุโรป และกับสหประชาชาติ เพื่อทำให้เกิดสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศในภูมิภาคที่เอื้ออำนวยต่อกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียน

“เราต้องทำงานหนักกันต่อไป เพราะการค้าระหว่างอาเซียน-รัสเซีย ยังมีปริมาณไม่มากนัก ในปี ค.ศ.2014 การลงทุนมีเพียง 22 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่น้อย แต่ก็ไม่มาก เราจึงจำเป็นต้องทำงานให้มากขึ้น โดยให้ความร่วมมือในด้านพลังงาน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการเกษตร ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ การต่อต้านการก่อการร้าย การท่องเที่ยว ซึ่งในอนาคตเราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกันระหว่างสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย-อาเซียน (EEU-ASEAN)”

“ดังนั้น เราจึงควรมารวมตัวกันเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่ายูเรเซีย เพราะเราทั้งหมดในยูเรเซียเป็นพี่น้องกัน มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความร่วมมือกันทางการเมืองและเศรษฐกิจ”

สมาชิกของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย ระยะแรกประกอบด้วยสามประเทศ คือ รัสเซีย คาซัคสถาน และเบลารุส อันเป็นการรวมกลุ่มในลักษณะสหภาพศุลกากร (Customs Union)

ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.2014 ผู้นำทั้งสามประเทศได้ลงนามพัฒนาสหภาพศุลกากรไปเป็นสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2015

ต่อมา อาร์เมเนียและคีร์กิสถานได้ลงนามเข้าร่วมเป็นสมาชิก โดยยังมีอีกหลายประเทศที่แสดงความจำนงที่จะเข้าร่วม ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย

สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชียประกอบด้วยประชากร 188 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรวม 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

มาถึงกรณีความขัดแย้งในยูเครนกลายเป็นความขัดแย้งระดับนานาชาติที่ทั่วโลกจับตามอง

“ถือเป็นความโชคร้ายมาก เมื่อประธานาธิบดีที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศยูเครนได้ถูกโค่นล้มไปโดยกลุ่มคนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเมื่อสามปีที่ผ่านมา อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย”

“เราทุกคนต่างล้วนมีปัญหา แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะบีบผู้นำที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศออกจากตำแหน่ง โดยใช้วิธีการให้ประชาชนออกมาประท้วงเพื่อแสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้เป็นความประสงค์ของประชาชน รัฐบาลใหม่ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มคนที่มีหัวรุนแรงที่สุดของสังคมยูเครน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ได้พูดอย่างเปิดเผยว่า ไม่เป็นไร เราจะดำเนินการในเรื่องภาษารัสเซีย โดยจะไม่อนุญาตให้ประชาชนยูเครนที่พูดภาษารัสเซีย ได้พูดภาษารัสเซียอีกต่อไป เราจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของยูเครน และรื้อถอนอนุสาวรีย์ทั้งหมดของกองทัพแดง และเราจะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับสหพันธรัฐรัสเซียด้วย”

“ยูเครนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ เคยรวมอยู่ในอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าจักรวรรดิรัสเซียนานถึง 300 ปี และเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียตอีก 70 ปี ประชากรส่วนใหญ่มีชาติพันธุ์รัสเซียที่สืบทอดต่อกันมา หรือเป็นเด็กที่เกิดจากครอบครัวผสม และพูดภาษารัสเซีย คนเหล่านี้ได้มารวมกันเป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่ที่เรียกว่าจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งต่อมาคือ สหภาพโซเวียต”

“ประชาชนชาวยูเครนเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของตนเอง รัสเซียจำเป็นต้องเคารพความต้องการของประชาชน” เอกอัครราชทูต คีริลล์ บาร์สกี้ กล่าว

“ประชาชนชาวยูเครนส่วนหนึ่งกล่าวว่า ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ เนื่องจากในด้านหนึ่งชาวดอนบัสส์ (Donbass) ต้องการอยู่ในยูเครน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ต้องการรัฐบาลซึ่งรับรู้สิทธิของประชาชน และให้ความเคารพในอำนาจของประชาชน แต่หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าของยูเครนได้ส่งกำลังรบแบบกองโจรไปลงโทษประชาชนที่พูดภาษารัสเซีย ในแถบตะวันออกของยูเครนและแหลมไครเมีย นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น”

ภาคตะวันออกของยูเครนมีสองภูมิภาคใหญ่ คือ มณฑลโดเนตสก์ (Donetsk) และ ลูฮันสก์ (Luhansk) มักเรียกรวมกันว่า ดอนบัสส์ (Donbass)

สํานักข่าวโกลบอลโพสต์ได้กล่าวถึงสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียว่า เป็นดินแดนที่มีส่วนผูกโยงกับรัสเซียในเชิงประวัติศาสตร์และการเมือง ทางด้านประชากรศาสตร์ ไครเมียมีประชากรอยู่ราว 2 ล้านคน ร้อยละ 58 เป็นผู้มีเชื้อสายรัสเซียซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของพื้นที่ ร้อยละ 24 เป็นผู้มีเชื้อสายยูเครนอาศัยอยู่ทางตอนเหนือ และร้อยละ 12 เป็นชาวมุสลิมเชื้อสายตาตาร์ (Tatars) อยู่ในแถบตอนกลาง

แล้วเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ไครเมีย ที่กลายเป็นปัญหาระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก

“ชาวไครเมียส่วนใหญ่พูดภาษารัสเซีย ได้มีการลงประชามติว่าด้วยสถานภาพของไครเมีย เพื่อฟังเสียงของประชาชนว่าต้องการอย่างไร ผลการลงประชามติได้แสดงว่า พวกเขาต้องการที่จะแยกตัวออกจากยูเครน ต่อมา ได้มีการลงประชามติอีกครั้ง และผลคือ ประชาชนเกือบ 100% ต้องการเข้าร่วมกับรัสเซีย ขณะที่กลุ่มประเทศตะวันตกไม่รับรองผล แม้ว่าจะถูกต้องตามกฎหมาย”

นอกจากนี้ รัฐบาลยูเครนยังขู่ที่จะลงโทษนักการเมืองท้องถิ่นในไครเมีย ที่เรียกร้องให้มีการทำประชามติเพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากยูเครนไปรวมกับรัสเซีย

โดยกล่าวหาว่า บุคคลเหล่านี้เป็นแกนนำในการขบวนการแบ่งแยกดินแดน ขณะที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ประกาศว่าประชาคมโลกจะไม่ยอมรับการลงประชามติในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญของยูเครน อีกทั้งยังเป็นการจัดขึ้นท่ามกลางแรงบีบของกำลังทหารที่มาจากรัสเซียอีกด้วย

“ผมขอย้ำว่า ไม่มีทหารของรัสเซียในยูเครน ปัญหาของยูเครนไม่ได้เป็นเพราะรัสเซียเข้าไปรุกรานยูเครน แต่ปัญหาของยูเครนเป็นความขัดแย้งภายใน เป็นสงครามกลางเมือง ยูเครนจำเป็นต้องหาวิธีการร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ซึ่งเราพร้อมที่จะช่วย แต่ประชาชนในไครเมียต้องการที่จะเข้าร่วมกับเรา ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถพูดได้คือ เชิญเข้ามาเลย ซึ่งก็เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และตามกฎระเบียบของรัสเซีย เพราะเราทำทุกอย่างตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้”

เอกอัครราชทูตบาร์สกี้ แห่งรัสเซีย สรุปสั้นๆ ว่า

“ชาวไครเมียต้องการที่จะแยกตัวออกจากยูเครน แล้วมีเหตุผลใดที่สหรัฐและสหภาพยุโรปใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย กรณีนี้ เป็นกระบวนการลงประชามติของประชาชนชาวไครเมีย อันเป็นสิ่งที่ชอบธรรม วันนี้ การผนวกไครเมียสิ้นสุดเบ็ดเสร็จแล้ว จะไม่มีการถอยหลังอีก เพราะความเป็นจริงคือ รัสเซียและไครเมียจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”