เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ /เรื่องสั้นชุดว้าวุ่น

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เรื่องสั้นชุดว้าวุ่น

 

เมื่อ 40 ปีก่อน (นานเอาการทีเดียว) ครั้งที่ผมยังเรียนอยู่ปี 3 คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ผมได้เขียนเรื่องสั้นลงเป็นตอนๆ ในนิตยสาร “เปรียว” ของ บ.ก.สมใจ หล่อสมิทธิกุล ใช้ชื่อว่า “เรื่องสั้นชุดว้าวุ่น”

เป็นเรื่องที่บางคนบอกว่า “มันหากินกับเพื่อน” ก็คงจะไม่ผิด

เพราะผมนำเรื่องราวชีวิตสนุกๆ ของเพื่อนถาปัด จุฬาฯ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคณะที่มีวิถีแปลกๆ สนุกๆ คิดนอกกรอบ มาเขียนประจาน เอ๊ย เขียนให้อ่านกัน

โชคดีว่ามีคนอ่านแล้วชอบ และติดตามอ่านเป็นตอนๆ ในเปรียวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหมือนแจ้งเกิดนามปากกา “ปินดา โพสยะ” ที่ผมใช้ไปโดยปริยาย

เมื่อเรื่องสั้นเป็นตอนๆ ได้รับความนิยม จึงมีการรวมเล่มพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กให้ซื้อเป็นเจ้าของกัน

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ครั้งที่ 1 ของ “ว้าวุ่น”

 

เวลาผ่านไป 40 ปี เรื่องสั้นชุดว้าวุ่น กำลังจะตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 21 ซึ่งห่างจากครั้งที่ 20 ถึง 7 ปี

ที่ลุกขึ้นมาพิมพ์โดยตัวผมเอง ไม่ได้ผ่านสำนักพิมพ์ไหนเหมือนที่ผ่านมา ก็เพราะมีคนเริ่มพูดถึง ถามถึงบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะในโลกโซเชียล หรือเมื่อผมเจอะเจอคนอื่นที่รู้ว่าผมเป็นคนเขียนเรื่องนี้ก็บอกว่ามีขายที่ไหนบ้าง อยากอ่านอีก

บังเอิญผมเป็นคนตามใจคนด้วยสิ ถามหากันจัง ก็เลยจัดพิมพ์ด้วยตนเองเสียเลย ใครสนใจอยากหามาอ่าน ตอนท้ายคอลัมน์นี้จะบอกไว้นะครับ

 

ในเรื่องสั้นชุดว้าวุ่นนี้ มีตัวละครจริงที่ถูกผมเขียนถึงหลายคนทีเดียว ซึ่งในจำนวนนั้นมีเพียง “เอ๊ะ” คนเดียวที่ผมใช้ชื่อจริง เพราะเป็นการเขียนตอนแรก หลังจากนั้นเห็นท่าไม่ดีว่าจะถูกเพื่อนๆ ตีหัวเอาได้ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อปลอมให้กับตัวละครทุกตัว

อย่างไรก็ดี ผมมีตัวอย่างบางตอนมาให้อ่านเป็นออเดิร์ฟกันสักหน่อย ลองชิมดูนะครับ

ตอนแรกเป็นตอนที่ชื่อว่า “คนมักหลับ”

 

ถ้าใครเคยมาที่ถาปัด คงเคยเห็น “เอ๊ะ” บ้างหรอก เพราะคนที่ตัวเล็กๆ หุ่นล่ำๆ แบบมะขามข้อเดียวในคณะมีอยู่ไม่กี่คนพอนับจำนวนได้ และเอ๊ะก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น แต่เอ๊ะจะดูเป็นมะขามเทศมากกว่ามะขามเปียก ด้วยผิวสีขาวจึงดูสะอาดสะอ้านอยู่บ้าง

เอ๊ะมีสัญลักษณ์ที่เด่นอีกอย่างหนึ่งคือเหงือก เวลาที่เอ๊ะพูดคุยหรือแย้มยิ้มทีไร เราจะเห็นเหงือกควบคู่ไปด้วยเสมอ เหมือนกิ่งทองกับใบหยก และเหงือกนั่นแหละที่เป็นใบหยก ด้วยมันมีสีเขียวอยู่ไรๆ…

…เย็นวันนั้นพอเล่นรักบี้เสร็จ ก็ลงอาบน้ำกันที่สระจุฬาฯ ชำระร่างกายจากเหงื่อไคลและขี้โคลน ขณะที่ว่ายน้ำเล่นกันสนุกสนานอยู่นั้น ตาผีของเอ๊ะก็ปะเอาผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งทอดอารมณ์อยู่คนเดียวที่ริมสระฝั่งตรงข้ามกับที่เล่นน้ำกันอยู่ มองไกลๆ ก็รู้ว่าสวย เอ๊ะชักชวนพรรคพวกวางแผนการร้ายทันที แล้วพากันว่ายน้ำข้ามฝั่งไป

กว่าจะถึงฝั่งอีกฝั่งได้แทบจมน้ำตาย แต่เพราะสันดานการแซวทำให้ทุกคนอดทนขึ้นได้อีกโข พอถึงก็เลียบๆ เคียงๆ ว่ายลัดเลาะไปใกล้ๆ แล้วร้องเพลงประกอบการว่ายน้ำด้วยเนื้อที่ว่า “โฉมเอย โฉมงาม อร่ามแท้…” ซึ่งใครๆ ก็ต้องรู้จัก แม้แต่คนที่กำลังถูกแซวอยู่นี่

“โฉมเอย โฉมงาม อร่ามแท้แลตะลึง ได้เจอครั้งหนึ่ง อลึ่งชึ้งตรึงใจ…” ตอนหลังออกจะเพี้ยนๆ เพราะจำเนื้อพลาดๆ ยังไงอยู่ แต่ใจก็ยังสู้จะร้องต่อไป…

อ่านมาแล้วยังไม่เห็นว่าเอ๊ะจะเป็น “คนมักหลับ” ยังไงใช่ไหมครับ ถ้าอยากรู้วีรกรรมการเป็นคนมักหลับระดับทีมชาติของเอ๊ะ ต้องหาอ่านเอาครับ

 

ขอยกมาให้อ่านอีกสัก 2 ตอนก็มีตอนที่ชื่อว่า “ต่อ-หลอดไฟ และศีลห้า”

… “ต่อ” เป็นชายหนุ่มร่างผอมที่หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไร แต่ออกไปทางผ่องใสเสียมากกว่า เมื่อดูหน้าตาต่อแล้วจะได้รับแต่ความสดชื่น ค่าที่ขาวสดชื่น ผิวเรียบและเกลี้ยงเกลา ทรงผมสั้นและเป็นระเบียบ คือถึงจะไม่ได้หวีก็ยังดูเป็นรูปเป็นทรงอยู่บ้าง

ลักษณะอีกอย่างที่เสริมให้ต่อดูผ่องใสได้เพียงนั้น ก็เห็นจะเป็นศีรษะที่เถิกขึ้นไป เปิดให้ช่วงหน้าผากมีอาณาเขตกว้างขวางเหลือเฟือพอที่จะตั้งวงไพ่ได้สักวง หรือเล่นตะกร้อได้สักหนึ่งสนามสบายๆ เรียกว่าถ้าต่อเป็นผู้หญิงแล้ว ผู้ชายที่ได้เห็นคงจะซี้ดซ้าดไม่หยุดกับหน้าผากผืนใหญ่นี้ และชวนให้คิดไปถึงไหนต่อไหนอีกมาก

เมื่อหน้าผากของต่อกินเนื้อที่ของใบหน้าเกือบครึ่งแล้ว จึงช่วยไม่ได้เลยที่ส่วนประกอบอื่นๆ ของใบหน้าจะร่วงมาสุมกันเป็นกระจุกอยู่ข้างล่าง รวมทั้งคางที่หดหายแทบจะไม่ต่อกับกระเดือกอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของต่อคล้ายกับหลอดไฟมากขึ้น ด้วยลักษณะของหัวเป็นเช่นนี้ และด้วยที่ไม่ว่าจะดูครั้งไหนก็ผ่องใสสุกสว่างไปเสียทุกครั้ง เราจึงพร้อมใจกันเรียกต่อว่า “ต่อหลอดไฟ”

…ต่อเป็นคนที่ถือศีลห้าตามคำสอนของพุทธศาสนา และตัวเองบอกว่า “อย่างเคร่งครัด” ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยจะเป็นไปตามนั้นเท่าไร มักจะบิดๆ เบือนๆ เฉไฉออกไปบ้างบางที แต่ต่อก็ยังยืนยันที่จะบอกว่า “เขาถือศีลห้า”

ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะรักเพศตรงข้ามได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เพราะต่อยินดีที่จะมอบความรักต่อใครๆ ที่แผ้วพานเข้ามาในชีวิตได้เสมอ โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีคู่แล้วหรือยัง จึงได้รู้กันบ่อยๆ ว่าต่ออกหักอีกแล้ว…และอีกแล้ว แค่ไปไหนกลับมา ต่อก็จะได้พบรักใหม่ทุกที

“เป็นการเผื่อแผ่ความรักและเมตตาธรรมให้แก่เพื่อนมนุษย์”

ต่อจะบอกกับเราอย่างนี้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาถือศีลไป พร้อมๆ กับการเที่ยวไปชอบพอใครๆ ให้ได้บุญจากการเผื่อแผ่ความรักนี้…

 

เชื่อไหมครับว่า ความเป็นคนถือศีลห้าของตัวละครที่ชื่อต่อนั้นก็ยังคงยืนยงมาถึงปัจจุบันนี้ แต่อย่างว่าละครับ ออกจะเป็นศีลห้าที่เฉไฉสักหน่อย

ลองอ่านตัวอย่างอีกสักตอนนะครับ คราวนี้เป็นตอนที่มีชื่อว่า “ของผู้ใหญ่เล่น”

…พวกเรายังมีการละเล่นอย่างหนึ่งที่เคยเฟื่องฟูในหมู่พวกเราอยู่พักหนึ่งก็คือ การเล่น “ผีถ้วยแก้ว”

คุณเคยเห็นไหมครับไอ้ผีถ้วยแก้วนี่ เขาจะมีอุปกรณ์ที่สำคัญคือแผ่นกระดาษตีเป็นตารางแบบหมากฮอสน่ะครับ ในแต่ละช่องของตารางก็จะเขียนเป็นตัวอักษรภาษาไทย ว่ากันตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูกตาโตนั่นเลยทีเดียว ที่ละเว้นไว้บ้างก็ตัวที่เขาไม่ได้ใช้กันแล้วอย่าง ฃ.ขวด ฅ.คน อะไรพวกนี้ แล้วก็ตามด้วยสระกับวรรณยุกต์ทั้งหมด จากนั้นก็จะเป็นตัวเลข 0-9 และอาจจะมีเพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับความรวดเร็วในการเล่น คือคำตอบว่า “ใช่” “ไม่ใช่” “ไม่รู้” ไว้สำหรับให้ผีตอบ จะได้ไม่ต้องคอยสะกดให้เสียเวลา

ทีนี้จะมาพูดถึงวิธีการเชิญ ก็ต้องเป็นหน้าที่ “จุ่น” ละครับ เขาถนัดที่จะเชิญเจ้าเข้าทรง จุ่นจะจุดธูปสักดอกหรือสาม หาอะไรที่เป็นเลขคี่ หันหน้าไปทางตะวันตกแล้วก็ยกธูปขึ้นจบหัว พึมพำเชิญดวงวิญญาณ แล้วก็นำเอาถ้วยแก้วมาครอบเอาควันธูปไปวางไว้ที่ที่พัก

พูดถึงถ้วยแก้วแล้ว ก็น่าแปลกใจที่เราไม่เคยได้ใช้ถ้วยแก้วจริงๆ เลย ส่วนมากมักจะเป็นฝาขวดเหล้านั่นแหละ เพราะเวลาที่เล่นมักจะเป็นเวลาที่กินเหล้ากันสนุกแล้ว แล้วก็หาอะไรทำกัน ก็ลงท้ายด้วยของที่หยิบฉวยได้โดยง่าย พ้นจากฝาขวดเหล้าไปบ้างก็เป็นฝาขวดอะไรต่างๆ ที่ไม่ใหญ่เกินช่องตาราง

“ถ้ามีดวงวิญญาณเข้าสถิตแล้ว เดินไปที่ตัว…”

ที่ละไว้นั้นเป็นตัวอักษรตามแต่จะกำหนด แล้วไม่รู้ว่ามีใครแกล้งดันหรือเปล่านะครับ แต่ก็จะเดินไปที่ตัวนั้นได้จริงๆ ถ้ามีผีอยู่

บางทีเราก็พบว่า ผีที่เชิญมานั้นไม่รู้หนังสือ เดินน่ะเดินจริง แต่ว่าสะเปะสะปะเกินไป จนต้องเชิญออก โดยไม่ลืมที่จะขอบคุณที่มาร่วมสนุก แล้วขอเชิญดวงวิญญาณอื่นต่อไป การเชิญนี้เจาะจงเชิญใครเลยก็ได้ หรือจะสุ่มเชิญก็ได้ ถ้ามีวิญญาณอยู่แถวนั้นจริงๆ ก็จะมาเข้า แล้วเราก็จะได้สนุกกัน…

 

เป็นไงครับ ตัวอย่าง 3 ตอน เรียกน้ำย่อยกันพอหอมปากหอมคอ ถามว่าแล้วในเล่มมีกี่ตอน ตอบว่ามีทั้งหมด 22 ตอนครับ และแถมตอนใหม่ให้อีก 1 ตอนรวมเป็น 23 ตอนด้วยกัน บรรจุอยู่ในพ็อกเก็ตบุ๊กหนา 440 หน้า ราคาเพียง 350 บาทเท่านั้น

เมื่อไปค้นดูเล่มก่อนหน้านี้ เล่มที่พิมพ์ครั้งล่าสุด คือเมื่อ 7 ปีก่อน ราคาขายอยู่ที่ 270 บาท และเมื่อย้อนไปถึงเล่มที่พิมพ์ครั้งแรก ราคาตกเล่มละ 30 บาทเท่านั้น

เห็นราคาหนังสือเมืองไทยแล้ว น่าเห็นใจคนเขียนนะครับ นี่ไม่ได้พูดเข้าข้างตัวเอง แต่พูดถึงอุตสาหกรรมโดยรวม โดยเฉพาะในโลกของคนเขียนหนังสือ ที่ดูเหมือนจะได้รับค่าตอบแทนไม่ค่อยสมดุลสักเท่าไหร่

ฉะนั้น ถ้าอยากหาอะไรอ่านเพลินๆ สนุกสนานรื่นอารมย์กันในยามนี้ ก็เชิญจับจองกันได้ทาง line id : @pinda อย่าลืม @ ด้วยนะครับ ในนั้นจะแจ้งรายละเอียดทุกอย่างไว้ให้ทราบ

แล้วพบกันในหน้าแรกของหนังสือ “เรื่องสั้นชุดว้าวุ่น” กันครับ