วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/ เสถียร จันทิมาธร / ผู้อยู่รอด ไม่อาจลืมเลือน (65)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ผู้อยู่รอด ไม่อาจลืมเลือน (65)

การพบระหว่างเหมยฉางซูกับจิ้งหวังยิ่งทำให้ “ตะกอน” แห่งอดีตถูกก่อกวนอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วง เริ่มจากการคิดถึง “ท่านอาแนี่ย” ครั้งอยู่ร่วมกันในกองทัพอัคคีแดง ตามมาด้วยภาพฝังจำประทับใจอย่างมิรู้ลืมเลือน

ปราชญ์แห่งกองทัพอัคคีแดงท่านนี้ ร้อยเล่ห์กลศึก ฮึกเหิมตะลึงศัตรู กระนั้น คำพูดประโยคสุดท้ายซึ่งทิ้งไว้บนโลกกลับเรียบง่ายจนน่าตกใจ

“เสี่ยวซูห์ เจ้าต้องมีชีวิตสืบไป”

แล้วภาพในกาลอดีตก็ย้อนกลับคืนมาในครรลองแห่งความคิดถึง เปลวเพลิงแผดเผาแผ่นหลังอันบอบบางจนไหม้เกรียม แต่ “ท่านอาเนี่ย” ยังคงพยายามอย่างสุดชีวิต ผลักตนเองให้ลงไปในแอ่งหิมะพร้อมกับสั่งเสียคำพูดนี้

ดวงตาวาวใสคู่นั้นมีเพียงความคาดหวัง ปราศจากความเคืองแค้น เพราะต้องการให้หลินซูห์มีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนหลังจากนั้นจะทำอะไรกลับมิได้วิงวอนร้องขอ

ผู้จากไปแม้ไม่เรียกร้อง แต่ผู้อยู่รอดกลับไม่อาจลืมเลือน

ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลัง คำถามก็ดังขึ้น “ท่านซูเป็นอะไรหรือไม่” เป็นเสียงของจิ้งหวังดังมาจากด้านข้าง

“ไฉนหน้าซีดนัก”

 

ระหว่างอดีตกับปัจจุบันสำหรับเหมยฉางซูจึงย้อนทวนหวนกลับ หวนมาแล้วก็จากไป จากไปแล้วก็หวนกลับมา

“ไม่เป็นไร แค่รู้สึกว่าวันนี้เหมือนจะหนาวกว่าเมื่อวานหลายส่วน”

จิ้งหวังคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกวักมือเรียกทหาร สั่งว่า “ไปยกกระถางไฟมาที่ห้องหนังสือ” จากนั้นหันมาอธิบายเพิ่มเติม

“ห้องหนังสือของข้าปกติไม่เคยจุดไฟ ลืมไปว่าท่านซูขี้หนาว สะเพร่าจริงๆ”

หลังจากเลี้ยวโค้งคราหนึ่ง ห้องหนังสือก็ปรากฏตรงหน้า กระถางไฟถูกนำมาตั้งไว้ก่อนแล้ว แต่เพิ่งนำเข้ามาไม่นานจึงยังขับไล่ความเย็นในห้องไม่หมด ดังนั้น เหมยฉางซูเลือกเดินไปนั่งเก้าอี้ซึ่งใกล้กระถางไฟที่สุด

สายตาอันช้อนมองจิ้งหวังเหลือบไปเห็นเก้าอี้เก่าคร่ำริมหน้าต่างด้านใต้ตัวนั้นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันรู้สึกแปลบปลาบในใจขึ้นมา

นั่นจึงเป็นตำแหน่งประจำที่เคยนั่งจนชิน

เพียงแต่เวลานี้ “เก้าอี้อยู่ คนจร” ต่อให้อยากรุดเข้าไปนั่งสักปานใด เกรงว่าจิ่งเหยียนยากที่จะยินยอม

เมื่อเข้าที่เข้าทางปัจจุบันแห่งการสนทนาจึงได้เริ่ม

 

เป็นการเริ่มต้นจากเหมยฉางซู เป็นการรายงานสภาพและเนื้อหาการสนทนากับอวี้หวังเป็นไปตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย

“อวี้หวังพูดเป็นเชิงให้กระหม่อมหาวิธีแจ้งความจำนงถึงท่านเรื่องคดีรุกล้ำที่ดินให้ท่านดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเขา”

“เดิมข้าก็ไม่คิดจะคำนึงถึงเขา” น้ำเสียงยะเยียบเย็น

“ท่านได้รับราชโองการเมื่อวานกระมัง ผ่านมาคืนหนึ่งใช่มีความคิดเห็นอันใดหรือไม่”

“หลักฐานที่หน่วยส่องอธรรมรวบรวมมาให้กลับเพียงพอแล้ว คดีนี้สอบสวนไม่ยากเย็น ซิ่งกั๋วกงไม่ใช่แค่ผู้ให้ท้าย แต่เป็นตัวการ”

“แต่เขาเป็นขุนนางฝ่ายทหารชั้นหนึ่งมีอำนาจทูลขออภัยโทษ”

“นักโทษฆ่าคนครบ 3 ชีวิตไม่มีการอภัยโทษ”

“เขาอยู่ในเมืองหลวง คดีฆ่าคนไม่แน่ว่าเป็นผู้กระทำ”

“การฆาตกรรมที่หมู่บ้านจูเจียมีจดหมายลับของเขาเป็นหลักฐาน”

“จดหมายลับไม่ใช่ของเขา แต่เป็นการกระทำของผู้ดูแลในจวน”

“ข้าได้เชิญผู้ดูแลคนนี้มาเมื่อวาน วันนี้รับสารภาพแล้ว มิได้ปากแข็งแต่อย่างใด”

“เชิญมาด้วยมารยาท เป็นความจริงหรือ” แววตาเหมยฉางซูฉายแววชื่นชม “องค์ชายมองดูหลักฐานของหน่วยส่องอธรรมแค่ปราดเดียวก็ทราบว่ายังขาดผู้ดูแลคนนี้ ช่างลงมือรวดเร็วปานสายฟ้า แซ่ซูนับถือจริงๆ”

ใบหน้าจิ้งหวังปราศจากความภาคภูมิใจแม้แต่น้อย

“นั่นเป็นเพราะซิ่งกั๋วกงเข้าใจว่าจดหมายลับฉบับนี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าความจริงมันตกอยู่ในมือของเซี่ยตง มิเช่นนั้นคงฆ่าคนปิดปากไปนานแล้ว”

 

การสนทนาระหว่างจิ้งหวังกับเหมยฉางซูเผยความนัยมากมายของคดีความอันซิ่งกั๋วกงเข้าไปพัวพันตั้งแต่ต้นจนจบ

ฉายชี้ว่าเหตุใดต้องมีการลอบสังหารเซี่ยตง

ฉายชี้ว่าเหตุใดอวี้หวังจึงร้อนรนอย่างผิดสังเกต ฉายชี้ว่าเหตุใดเหมยฉางซูจึงวางแผนให้จิ้งหวังเข้ารับผิดชอบในการไต่สวน