จับสัญญาณ กองทัพปึ้ก ผู้นำทหาร Strong รับทุกศึก แบ๊กอัพ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” จับตาเรือดำน้ำ และคลื่นใต้น้ำ

รายงานพิเศษ

จับสัญญาณ กองทัพปึ้ก ผู้นำทหาร Strong รับทุกศึก แบ๊กอัพ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” จับตาเรือดำน้ำ และคลื่นใต้น้ำ

การซ้อมรบของกองทัพ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ในรูปแบบที่เรียกว่า ยิงกันหูดับตับไหม้ หรือดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงนั้น ไม่ใช่แค่การแสดงความพร้อมรบ ความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยจากภายนอกประเทศเท่านั้น

แต่เป็นการส่งสัญญาณต่อสถานการณ์ภายในประเทศด้วย…

หลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงียบ ซื้อเรือดำน้ำจีนลำแรก จนถูกวิจารณ์และตรวจสอบอย่างหนัก และอย่างไม่หยุดหย่อน

กองทัพก็ยิ่งต้องแสดงความแข็งแกร่งของการมีกำลังรบ กำลังทหารที่เข้มแข็ง ให้ประชาชนเห็นจากการซ้อมรบ ท่ามกลางปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี และบรรดามหาอำนาจ เพื่อให้สอดคล้องกับอาวุธยุทธศาสตร์อย่างเรือดำน้ำ ที่จะป้องปรามไม่ให้ชาติไหนเข้ามาแหยม

อันเป็นจังหวะที่กองทัพเรือมีการฝึก “กองทัพเรือ 60” ขึ้น แถมเป็นการฝึกแบบ 4 เหล่าทัพครั้งแรก

จึงทำให้ผู้นำทหารใช้อีเวนต์นี้ในการแสดงออกถึงความพร้อมรบทางทหาร และความเป็นหนึ่งเดียวของ ผบ.เหล่าทัพ

เพราะถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่ ผบ.เหล่าทัพ นั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร กลางอ่าวไทย เพื่อดูการฝึกที่ใช้เรือรบมากที่สุดถึง 38 ลำ เครื่องบินรบ 16 เครื่อง และกำลังทหารบกจาก พล.ร.2 รอ. พร้อมรถเกราะ ที่มาลงเรือรบ เพื่อไปปฏิบัติการยกพลขึ้นบกร่วมกัน

ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ผู้นำทหารยุคนี้ เป็นชุดที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันมาก ทั้งเป็นเพื่อน พี่น้อง แบบที่เรียกได้ว่า เจอกันเกือบทุกวัน คุยกันทุกวัน ทั้งทางโทรศัพท์ และทางไลน์กลุ่มของผู้นำเหล่าทัพ

จึงไม่แปลกที่เมื่อ บิ๊กณะ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. เชิญมาชมการฝึก ทั้ง บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุด พร้อมทั้ง บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. บิ๊กจอม พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. และแม้แต่ บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ก็จึงมากันพร้อมหน้า

อันเป็นการแสดงถึงความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว โดยเฉพาะเมื่อมีการนัดแนะให้ทั้ง 5 ผู้นำทหารและตำรวจ ถ่ายภาพการจับมือแล้วชูขึ้น บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ด้วยการใช้เฮลิคอปเตอร์บินถ่ายภาพ เพื่อเผยแพร่ ภายใต้ม็อตโต้ที่ว่า Together, We are strong

อีกทั้ง พล.อ.สุรพงษ์ และ พล.ร.อ.ณะ ก็เป็นเพื่อน ตท.15 ส่วน พล.อ.เฉลิมชัย และ พล.อ.อ.จอม ก็เป็นเพื่อนรัก ตท.16 ด้วยกันอยู่แล้ว จึงยิ่งแนบแน่น ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นน้องเล็ก ตท.20 ก็สนิทสนมกับพี่ๆ อยู่แล้ว แถมเป็นน้องเลิฟของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม อีกด้วย

ต้องไม่ลืมด้วยว่า พวกเขาเป็นสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยกัน จึงมีเรื่องต้องพบเจอ พูดคุย หรือประสานกันตลอด รวมถึงการทำงานในคณะกรรมการปรองดองฯ

อันเป็นการส่งสัญญาณแห่งความแข็งแกร่ง ที่ไม่มีใครจะมาทำลาย หรือเสี้ยมแซะให้แตกแยกกันได้

ไม่ใช่แค่การฝึกกองทัพเรือ ที่มีทั้ง 4 เหล่าทัพมาร่วมแสดงแสนยานุภาพทางทหารอย่างยิ่งใหญ่ทางทะเลและทางอากาศเท่านั้น แต่ยังมีดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงร่วมกันครั้งยิ่งใหญ่ บนบก ที่จันทบุรี อีกด้วย

ขณะกองทัพบกก็มีการฝึก กรมเฉพาะกิจทหารม้า ของ พล.ม.2 รอ. ที่เป็นทั้งกำลังรบหลัก และขุมกำลังปฏิวัติ และการดูแลความสงบเรียบร้อยภายใน ที่มีการใช้รถถัง รถเกราะ รถสายพานลำเลียงพล เป็นร้อยคัน ระดมยิงใส่ภูเขาอย่างสนั่นหวั่นไหว แถมมีเครื่องบิน เอฟ 16 ของ ทอ. มาปฏิบัติการสนับสนุนทางอากาศให้อีกด้วย

ยิ่งเมื่อ พล.อ.เฉลิมชัยบอกกับทหารว่า สถานการณ์ภายในประเทศ ปัจจุบันกองทัพได้ดูแลสถานการณ์ด้านความมั่นคงให้กับรัฐบาลในทุกมิติ เพื่อให้รัฐบาลบริหารประเทศไปได้ตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้

“ขอฝากให้พวกเราทุกคนเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของตนเองและของหน่วยเพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะ พล.ม.2 รอ. ถือว่าเป็นกำลังหลักของกองทัพบกมาทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีความพร้อมตลอดเวลาในการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ อยากให้พวกเราทุกคนมีความภาคภูมิใจในการเป็นทหารอาชีพของเราจะทำหน้าที่ในการปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน อยากให้พวกเราทำหน้าที่ในฐานะทหารของชาติอย่างดีที่สุด”

บิ๊กเจี๊ยบส่งสัญญาณสะกิดให้เตรียมพร้อม

ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ในสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่าน ยิ่งปี 2561 จะต้องมีการเลือกตั้ง ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า คสช. จะยอมคืนอำนาจให้ประชาชน ยอมให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่

โดยเฉพาะการ “ดีล” กับนักการเมืองและพรรคการเมือง เพื่อปูทางไปสู่การมีนายกรัฐมนตรีคนนอก ที่ก็จับจ้องกันไปที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือแม้แต่ พล.อ.ประวิตร

โดยที่กองทัพ ก็จะยังคงเป็นฐานอำนาจให้ “พี่ตู่” หรือ “พี่ป้อม” ของน้องๆ ทหารต่อไปอย่างเข้มแข็ง ด้วยการวางทายาทให้นั่งเป็น ผบ.เหล่าทัพ และแม่ทัพนายกองกันไว้แบบระยะยาว

แต่ยังเชื่อกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะยังคงเป็น ผบ.ทบ. ต่ออีก 1 ปี และจะต่อด้วย บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 แกนนำเตรียมทหารรุ่น 20 ที่จะขยับขึ้นมาจ่อ ต่อคิวเป็น ผบ.ทบ. ต่อถึงปี 2563

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.

แต่ใครจะเป็น ผบ.ทบ. คนต่อจากนั้น ก็ต้องรอดูว่า โยกย้ายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ใครจะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1

ที่ยังมี บิ๊กตู่ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของบิ๊กป้อม และเพื่อน ตท.20 ของ พล.ท.อภิรัชต์ เป็นเต็งหนึ่ง

ขณะที่ระดับรองแม่ทัพภาคที่ 1 ก็อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณา ทั้ง บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี และ บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ เพื่อน ตท.22 ด้วยกัน ที่อาจต้องชิงกันเอง แถมต้องจับตามองด้วย เมื่อ พล.ต.สันติพงษ์ ได้รับมอบหมายให้มาดูแลการทำงานของ กอร.รส. ที่สนามหลวง

พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ         พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา            พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์              พล.ต.ธรรมนูญ วิถี

พล.ต.สันติพงษ์ เป็นนายทหารเสือราชินี น้องรักใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ เลยทีเดียว แถมมีอายุราชการถึงปี 2565

หากใครได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ย่อมหมายถึงการได้เป็น ผบ.ทบ. อีกด้วย

แต่ในหมู่มวลทหารม้า ก็ยังตั้งความหวังว่าทหารม้าจะได้ขยับเป็น ผบ.ทบ. อีกสักคน หลังจากที่มีวงศ์เทวัญ และบูรพาพยัคฆ์ ครองอำนาจในกองทัพมายาวนาน และมีทหารรบพิเศษ สลับมาเป็น ผบ.ทบ. หลายคนแล้ว จนวันนี้มี พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. ที่มาจากรบพิเศษ อีกเช่นกัน

เพราะตั้งแต่ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็น ผบ.ทบ. ก็ยังไม่เคยมีทหารม้าคนไหนได้เป็น ผบ.ทบ. อีกเลย ทั้งนี้เพราะทหารม้าโตช้า มีแค่ 3 กองพลทหารม้า แล้วกว่าจะฝ่าด่านขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองพลได้ ก็เหลืออายุราชการอีกไม่กี่ปีแล้ว ลุ้นไม่ถึงเก้าอี้ ผบ.ทบ.

เมื่อก่อนมี บิ๊กตุ๊ด พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ก็เกษียณแค่ที่ รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ปราการ ชลยุทธ์ ก็เกษียณที่ รอง เสธ.ทหาร บก.ทัพไทย

มายุคนี้ ในระดับห้าเสือ ทบ. แม้จะมีบิ๊กทหารม้าอยู่ถึง 2 คน ทั้ง บิ๊กเปี้ยก พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล ผช.ผบ.ทบ. แต่ก็จะเกษียณตุลาคมนี้แล้ว ส่วน บิ๊กต้อ พล.อ.สสิน ทองภักดี เสธ.ทบ. แม้จะเกษียณ 2561 แต่ก็พร้อมกับ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ. จึงไม่ได้ลุ้นเป็น ผบ.ทบ.

ความหวังของทหารม้า จึงมาลุ้นที่ บิ๊กแก้ว พล.ต.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.พล.ม.2 รอ แถมเป็น ตท.21 ที่พร้อมจะเป็นแคนดิเดตกับ ตท.22 และ ตท.23 เพราะมีอายุราชการยาวถึงปี 2566 แถมมีบทบาทสำคัญในยุค คสช. และเป็นกำลังหลักในการดูแลความสงบเรียบร้อยและการจัดระเบียบต่างๆ ตามนโยบาย คสช.

พล.ต.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.พล.ม.2 รอ

แม้จะมี พล.อ.เปรม ป๋าของทหารม้า เป็นกำลังใจ สนับสนุน อยากให้ทหารม้าได้เป็น ผบ.ทบ. อีกสักคนก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วางตัวคนที่จะเป็น ผบ.ทบ. ไว้แล้วแบบแพ็กเกจ เพื่อดูแลสถานการณ์ไม่ให้ “เสียของ” ในระยะยาว

นอกจาก พล.ต.สันติพงษ์ แล้ว ยังมีรุ่นน้อง ตท.23 ที่ถูกวางตัวไว้ เช่น บิ๊กต่อ พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.พล.ร.2 รอ. นายทหารเสือราชินี น้องรักนายกฯ

แต่กระนั้น ก็ไม่ได้ทำให้กองทัพเกิดความแตกแยก เพราะทุกสายทุกขั้วทุกเหล่า ต่างก็ยอมสยบให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร

ทว่า ที่กองทัพเรือ ดูเหมือนจะเข้มข้น หลังจากที่เกิดวิกฤตเรือดำน้ำ แต่ บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ แกนนำ ตท.18 ออกมาฝ่ากระแสต้านและเสียงวิจารณ์ ด้วยการนำแถลงข่าวด้วยตนเอง และยอมเป็นผู้แทน ผบ.ทร. ไปลงนามในข้อตกลงกับจีนในการสร้างเรือดำน้ำอีกด้วย

แบบที่มีการพูดกันในกองทัพเรือว่า เป็นเวทีแจ้งเกิด พล.ร.อ.ลือชัย ไปแล้ว เพราะเขาได้แสดงความเป็นผู้นำ ทักษะในการตอบคำถาม การใช้คำพูด ท่าทางต่างๆ แบบที่ชาวราชนาวีต้องบอกว่า “ยอมเลย”

ต้องยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ บิ๊กนุ้ย พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผช.ผบ.ทร. เป็นเต็งหนึ่ง เพราะว่าเป็นรุ่นพี่ ตท.16 และอาวุโส เนื่องจาก พล.ร.อ.ณะ ย้ำเสมอเรื่องยึดระบบคุณธรรม อีกทั้งมีพลังเตรียมทหารรุ่น 16 ที่มีทั้ง พล.อ.เฉลิมชัย และ พล.อ.อ.จอม ที่จะยังคงอยู่ในแผง ผบ.เหล่าทัพ

พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผช.ผบ.ทร.                               พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ

แต่เมื่อ พล.ร.อ.ลือชัย แสดงบทบาทนำในการแถลงชี้แจงโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจีน ก็ได้รับเสียงชื่นชม แม้แต่จาก พล.ร.อ.ณะ เอง ที่ตัวเขาก็ไม่ต้องการที่จะแถลงข่าวด้วยตนเอง เพราะไม่ชอบการออกสื่อ แถมต้องมานั่งให้ซักถาม ประหนึ่งจำเลย

ไม่แค่นั้น พล.ร.อ.ลือชัย ก็จะคอยให้ข้อมูลและชี้แจงสื่ออย่างไม่เป็นทางการ หลังจากนั้นต่อมาเมื่อมีประเด็นการตรวจสอบตามมาอีกด้วย

จนที่สุด พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาการันตีว่า การลงนามกับจีนในการสร้างเรือดำน้ำนั้นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพราะทาง ทร. รอบคอบ ให้ทุกส่วนตรวจสอบหมดแล้ว ไม่ว่า สำนักอัยการสูงสุด และ สตง. ก็เคยตรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว

“มานั่งแถลงกันหลายชั่วโมง มากัน 20 กว่าคน แล้วไม่มีคำถามไหนที่ไม่ตอบเลย” บิ๊กป้อมเอ่ยปากชม

จนทำให้บรรดาทหารเรือหันมาสนใจ พล.ร.อ.ลือชัย กันมากขึ้น เพราะได้เห็นความเป็นผู้นำ และตัวตนมากขึ้น

นอกเหนือจากที่เคยรู้กันว่า เป็นนักกีฬา นักวิ่งมาราธอน ไตรกีฬา เป็นนักวิจัย ที่สามารถวิจัยทุ่นระเบิดปราบเรือดำน้ำได้สำเร็จแล้ว ยังเรียกได้ว่าเป็นนักบู๊ ที่กล้าที่จะพูด กล้าที่จะตอบ

แรงเชียร์ก็กลับมามีมากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้จะถูกมองว่าการมีอายุราชการถึงปี 2563 ถ้าขึ้นเป็น ผบ.ทร. เลย นั่ง 3 ปีจะยาวนานไปนั้น แถมปิดทางเตรียมทหารรุ่นพี่ ตท.16 ตท.17 และรุ่นน้อง ตท.19 ที่เกษียณ 2563 พร้อมกันด้วยก็ตาม

แต่มาตอนนี้ ก็มีแรงหนุนให้ ผบ.ทร. ทำงานต่อเนื่องได้ ดีกว่าคนมาเป็นปีเดียว จะได้ทำงานต่อเนื่อง และต้องมาสานต่อโครงการเรือดำน้ำด้วย การมีอายุราชการ 3 ปี จึงจะเป็นข้อได้เปรียบมากกว่า

เพราะในอดีต ก็มี ผบ.ทร. หลายท่าน ที่มีอายุราชการ 2 ปี เช่น พล.ร.อ.นิพนธ์ ศิริธร พล.ร.อ.สมบูรณ์ เชื้อพิบูลย์ พล.ร.อ.กวี สิงหะ พล.ร.อ.อมร ศิริกายะ พล.ร.อ. ม.จ.ครรชิต อาภากร พล.ร.อ.สวัสดิ์ ภูติอนันต์

หรือในยุคหลังๆ นี้ ที่เป็น ผบ.ทร. 2 ปี ก็คือ พล.ร.อ.วิเชษฐ์ การุณยวณิช พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ พล.ร.อ.ประเสริฐ บุญทรง พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ

ส่วนคนที่เป็นมากกว่า 2 ปี เช่น พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นนาน 3 ปี พล.ร.อ.จรูญ เฉลิมเตียรณ เป็นถึง 5 ปี พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณะจันทร์ เป็นนานถึง 4 ปี และ พล.ร.อ.ประเจตน์ ศิริเดช พล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ และ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ที่ล้วนเป็นนาน 3 ปี

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร.

 

ในเวลานี้ ทัพเรือจึงคึกคัก จับตามองว่าที่แม่ทัพเรือคนใหม่กันอย่างใกล้ชิด ว่าจะเป็น พล.ร.อ.นริส หรือว่าจะเป็น พล.ร.อ.ลือชัย

เพราะดูเหมือนว่า ตอนนี้ทั้ง 2 ฝ่าย จะสู้กันเต็มที่ และอาจมีการก่อตัวคลื่นใต้น้ำ กองเชียร์แต่ละฝ่าย

แต่ทว่า การสู้กันด้วยการทำงานและผลงาน ดีที่สุด ที่ไม่ใช่ให้แค่ พล.ร.อ.ณะ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เห็นเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ประชาชน และกำลังพลในกองทัพเรือเห็น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าจะมาเป็นแม่ทัพที่นำชาวราชนาวีฝ่าคลื่นลมแรงในภายภาคหน้าไปให้ได้

แต่ท้ายที่สุด ก็เป็นเรื่องชะตาฟ้าลิขิตเอาไว้แล้วว่า ใครจะเป็นแม่ทัพเรือ