เชิงบันไดทำเนียบ : สมการ ‘รวม(เพื่อ)ไทย สร้างชาติ’ แค่ ‘จันทร์ส่องหล้า’ มองตา ‘จันทร์โอชา’

เมื่อความขัดแย้งภายใน ‘เพื่อไทย’ มาถึงจุดที่ ‘สมพงษ์ อมรวิวัฒน์’หน.เพื่อไทย และ ‘หญิงหน่อย’คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตปธ.ยุทธศาสตร์พรรคฯ ก็เอาไม่อยู่ รวมทั้งการดึง ‘กลุ่มแคร์’ กลับมา ‘เพื่อไทย’ จึงเกิดการ ‘ผ่าตัดใหญ่’ ขึ้นมา รื้อบอร์ดบริหารใหม่ สลาย ’ขั้วหญิงหน่อย’ เพื่อกระชับอำนาจให้ ‘ขั้วเจ้าแม่-เจ้าของพรรค’ แทน
.
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ‘สมพงษ์’ จะกลับมาเป็น หน.เพื่อไทย แต่ก็ในสภาวะที่พรรค ‘ไม่มีตัวเลือก’ มากนัก หากดูจากชื่อ 130 ส.ส. ยังไม่เก๋าเกมพอ เพราะ หน.พรรคฝ่ายค้าน ที่ได้ ส.ส. มากที่สุด จะต้องเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ เปรียบได้ว่า ‘สมพงษ์’ มาทำหน้าที่ช่วง ‘เปลี่ยนผ่านพรรค’ เพื่อรอ ‘หัวหน้าตัวจริง’ ในอนาคต

แน่นอนว่าแรงขยับครั้งนี้ ชื่อ‘คุณหญิงอ้อ’คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถูกพูดถึงอย่างโจ่งแจ้งใน ‘ปฏิบัติการกระชับอำนาจ’ แม้จะไม่เปิดหน้าชัด แต่สิ่งที่ย้ำชัดว่างานนี้ ‘ระดับเจ้าแม่’ มาเอง คือปรากฏการณ์ ‘หญิงหน่อย-สมพงษ์’ ต่างรีบถอย โดยไม่มีอะไรกั้น ย่อมสะท้อนความเป็น ‘ผู้มากบารมี’ ของผู้คุมการผ่าตัดครั้งนี้
.
ทั้งนี้ทุกอย่างดู ‘เผอิญ’ ไปเสียหมด รวดเร็วภายใน 1 สัปดาห์ นับจากเหตุการณ์ ‘ส่งสัญญาณ’ 24ก.ย.ที่ผ่านมา หลัง ‘คุณหญิงอ้อ’ ปรากฏตัวออกข่าว ที่ถือเป็น ‘เซอร์ไพรส์’ ทำให้ถูกตีความไปต่างๆนานา ผ่านมาเพียง 1 วัน ‘หญิงหน่อย’ ลาออก ปธ.ยุทธศาสตร์ฯ จากนั้น ‘สมพงษ์’ ก็ลาออก หน.พรรค ทำให้มีการเลือก กก.บห.พรรคใหม่ ตามมา ซึ่งทุกอย่างราบเรียบ ‘จังหวะลงตัว’ ไปเสียหมด
.
ต้องจับตา ‘เพื่อไทย’ ในระยะยาว จะวาง ‘บทบาท-สถานะ’ อย่างไร ท่ามกลาง ‘สภาวะการเมือง’ ที่ ‘ข้อเรียกร้อง’ ยกเพดานสูงขึ้น ซึ่ง ‘เพื่อไทย’ มีบทเรียนสมัยปี52-53 รู้ว่าเกมนี้จะจบอย่างไร จึงมีเพียง ‘เพื่อไทย’ เท่านั้น ที่จะ ‘ลดเพดาน’ นี้ลงมาได้ ดังนั้นเราจึงเห็น ‘เพื่อไทย’ ที่ลดดีกรีความสุดโต่งต่างๆในสภา เช่น การยื่นญัตติแก้ไข รธน.60 ที่ไม่สุดโต่งเท่าขั้วอนาคตใหม่ จนถูกสาปส่งจากคนรุ่นใหม่
.
ท่ามกลางกระแสข่าวลือ ‘รัฐบาลแห่งชาติ-ปรองดอง’ ที่เกิดขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นในสภาวะเช่นนี้ ที่แต่ละฝั่งต่างมี ‘ศรัทธามวลชน’ ค้ำคออยู่ การจะมาเข้าร่วมแบบดื้อๆ คงเป็นไปได้ยาก

แต่อย่าลืมว่าคอนเซ็ป ‘รวมไทย สร้างชาติ’ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ ‘โจ่งแจ้ง’ หากดู ‘อาการเพื่อไทย’ ที่เกิดขึ้นช่วง 1 ปีกว่า ก็พอจะเห็นคำตอบ สิ่งที่ชี้ชัดคือ ‘ศึกซักฟอก’ ปลายก.พ.63 ที่ผ่านมา ที่สังคมตีตราว่า ‘มวยล้มต้มคนดู’ ไปแล้ว แม้ ‘เพื่อไทย’ จะปฏิเสธก็ตาม รวมทั้งกระแสข่าว ‘ส.ส.ฝากเลี้ยง’ ที่พรรคเพื่อไทยถูกโจมตีด้วย อีกทั้งกระแสข่าวที่มีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่ามีการ ‘ดีล’ ระหว่าง ‘บิ๊กป้อม – ชัชชาติ’ เกิดขึ้น เพื่อให้หลีกทางในการลงชิงผู้ว่า กทม. ให้กับพรรคพลังประชารัฐ ในชื่อ ‘บิ๊กแป๊ะ’พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. แม้ พล.อ.ประวิตร จะปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวไปแล้วก็ตาม
.
อีกทั้ง ‘ปัจจัย’ ของ ‘ตระกูลชินวัตร’ ที่ไม่สามารถ ‘เล่นบทบู๊’ ได้เท่า ‘ขั้วอนาคตใหม่’ เพราะไม่ได้มี ‘อิสระ’ เท่า โดยมี ‘เงื่อนไข’ คือ ธุรกิจและครอบครัวที่อยู่เมืองไทย อีกทั้งภาพพรรคเพื่อไทยที่มีภาพความเป็น ‘ธุรกิจการเมือง’ ติดตัวมาตลอด จุดนี้ถือเป็นจุดที่พรรคเพื่อไทย ‘เสียรังวัด’ ให้กับขั้วอนาคตใหม่

ทว่าพรรคเพื่อไทย ก็ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะเป็นพรรคที่ได้เก่อี้ ส.ส.เขต มากที่สุด ดังนั้นการทำการเมืองจึงอยู่กับ ‘พื้นที่เป็นหลัก’ ซึ่งแตกต่างจากขั้วอนาคตใหม่ที่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นส่วนใหญ่ ทำให้พื้นที่อยู่ ‘ในสภาเป็นหลัก’ ทำให้เงื่อนไขทางการเมืองต่างกัน อีกทั้งนักการเมืองของทั้ง 2 พรรค ก็มีพื้นฐานต่างกัน โดยขั้วเพื่อไทยเป็น ‘นักการเมืองอาชีพ’ ยากจะสละตัวออกไป ส่วนขั้วอนาคตใหม่มาจาก ‘อาชีพอื่นๆ’ ที่พร้อมสละ ‘ความเป็นนักการเมือง’ ทุกเมื่อ
.
ในสภาวะเช่นนี้ขั้วเพื่อไทยต่างเห็นภาพตัวเองในระยะยาว เป็นเรื่องยากในการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะถุกบล็อคไว้รอบทิศ ในยุคที่ ‘ดุลอำนาจประเทศ’ เปลี่ยนไป อีกทั้ง ‘ข้อจำกัดตระกูลชินวัตร’ ที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นการ ‘กระชับอำนาจ’ ที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย ก็เพื่อรองรับการเลือกตั้งในอนาคต เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำได้มากที่สุดในเวลานี้ คือ การกลับมาเป็นพรรคใหญ่เช่นในอดีตอีกครั้ง เพื่อมีอำนาจต่อรองในสภามากขึ้น

ทว่าในทางการเมืองนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จใดตายตัวทั้งสิ้น และว่าด้วยเรื่อง ‘หน้าม่าน – หลังม่าน’ ทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น สมการ ‘รวม(เพื่อ)ไทย สร้างชาติ’ จึงไม่มีผลลัพธ์ตายตัว !!
.
แค่มองตา ก็พอแล้ว !!