การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ตกลงสู่บ่อขี้กี่คราวครั้ง

จึงเพียงเดินตามหลังกระทั่งเพื่อน

ชะลอเท้าก้าวเคลื่อนมาเคียงข้าง

มือคว้ามือยื้อไว้ให้ร่วมทาง

จึงใจจึงอ้างว้างอย่างชั่วช้า…

 

มีเรือนร่างมากมายในถนน

มีผู้คนมากมายหลายสิบหน้า

เดินผ่านกันวันใหม่ผ่านไปมา

ทั้งชัดพร่ารางเลือนเคลื่อนสวนไป

 

ตาจ้องดูปลายตีนบนดินดอน

หวนเมื่อนอนแนบข้างเกยคางใกล้

ยามสะเทือนเลื่อนลั่นถึงชั้นใน

ปลายตีนใครขยุ้มงุ้มจิกงอ

 

เป็นสวรรค์หรือนรกการตกอับ

หรือแท้คือสำรับสำหรับล่อ

ความเผ็ดหวานซ่านเสียวเปรี้ยวอาบคลอ

หลั่งลงคอริกรินลิ้นเคลือบคาว

 

เนื้อเนินนมผมบนชนผมล่าง

แลสล้างฟูกนอนหลังร้อนผ่าว

กระทั่งตาพร่าหยีมีแต่ดาว

แตกพรูพราวปะทุดั่งพลุพลอย

 

ลอยขึ้นสูงพุ่งระยับไปกับฟ้า

ก่อนตกมาเร็วรี่มีโซ่สร้อย

กระชากตึงแล้วผึงขาดไม่อาจคอย

ก่อนจะค่อยคลี่คลายหอบหายใจ

 

โอ้ตัวกูอยู่นี่ที่ดินดาก

แต่ความอยากโลภชั่วกลั้วถึงไหน

พลางตาเหลือบเห็นหน้าเพื่อนเปื้อนยิ้มไป

สะทกใจให้อดสูอยู่รอนรอน

 

ถึงคิวรถคนมากสองฟากฝั่ง

แว่วเสียงดัง “มาทางนี้! อีละอ่อน!

…เหนื่อยชิบหายแดดจ้าก็มาร้อน

อยากจะนอนสักสามค่ำเลิกทำงาน!

 

อ้าว! แล้วนั่นไปไหนไม่เข้ารถ

หน็อย! เลี้ยวลดอยู่นี่เองอีหวาน!

อวดสลิดติดเล่นไม่เป็นการ

หายหน้านานไปได้เสียผัวเมียใคร!”

 

หญิงอีกคนปากแดงแต่งหน้าเรื่อ

สวมผ้าเนื้อยืดนิ่มส่งยิ้มให้

แต่คำพูดกระด้างกลับต่างไป

มีละไมในตาเวลามอง

 

“เออ! กูพักบ้างซีขอหนีบ้าง

ก่อนทั้งมืดสว่างเหนื่อยหลังก่อง

อดทนสู้อุตส่าห์หาเงินทอง

กูก็ต้องใช้บ้างอย่างสมควร!”

 

“พอ! พอแล้วอีหวานรำคาญว่ะ”

แล้วลดเสียงกระซิบ “น่ะ ใครบอกด่วน

ดูหน้าตางามดีมีเนื้อนวล

มึงไปชวนชักลากจากไหนมา

 

เป็นพี่น้องผองวงศ์ญาติพงศ์เผ่า

รึมึงเอามาเป็นเพื่อนเล่นหา?”

พลันหน้าหวานซ่านแดงดั่งแปรงทา

ลดเสียงว่า “ฟู่เบาหน่อยอีอ้อยมึง!”

 

พิศวงอยู่ในใจเงียบเงียบ

ขณะเหยียบลานท่าแรกมาถึง

เป็นคิวรถจอแจและเอ็ดอึง

กลิ่นข้าวนึ่งเคล้าไก่ย่างข้างแผงอวล

 

หวานยิ้มเยื้อนเพื่อนจ้องมองกันทั่ว

หากยิ้มหวัวเหมือนย่างอยู่กลางสวน

“ไปกินข้าวก่อนน้อไม่ขอชวน

กูขอม่วนสักวันสวรรค์กู!”

 

เข้าในเพิงร้านข้าวโต๊ะขาวหน้า

ถาดอาหารละลานตารอท่าอยู่

หวานลุกยืนชะโงกชะเง้อดู

“เอาปลาทูกับแกงพะแนงเนื้อ!”

 

แล้วนั่งลงตรงข้ามดูดน้ำหลอด

นิ้วแซะสอดล้วงลัดจัดชายเสื้อ

“ร้านนี้นะถูกลิ้นลำจิ๊นเกลือ

อร่อยเหลือทั้งเผ็ดส้มลาบขมปรุง

 

แต่ถ้าช้าอาจจะอดของหมดก่อน

บางทีต้องจองแกงร้อนไว้ในถุง”

พลางลูบท้องเปาะแปะและตบพุง

คิ้วย่นยุ่งสลับกับแย้มยิ้ม

 

นั่งนิ่งนิ่งบนเก้าอี้ที่โยกเยก

นึกอยากเสกข้าวเข้าคอรีบขออิ่ม

คือตัวฉันอันลิ้นสิ้นอยากชิม

ดั่งเข็มทิ่มถึงโพรงปากอยากรีบคาย

 

“เป็นอะไรหรือพี่ ดูสิเงียบ

เห็นมั้ยรถเข้าเทียบทั้งเช้าบ่าย

อิ่มข้าวแล้วจะพาเข้าห้องเจ้านาย

ไม่โชคร้ายต้องได้งานวันนี้ละ”

 

“ขอบคุณมากนะหวาน…” ฉันขบปาก

ใจนึกอยากรีบตัดสลัดผละ

รู้ตัวใจมืดดำเกินชำระ

มีขยะอยู่ในใจล้านกอง

 

แต่อีกใจสะท้อนตอนเพ่งพิศ

เห็นชีวิตสุกใสในตาส่อง

ยิ่งมองมือกร้านคล้ำชำเลืองมอง

คือมือรองหลังฉันวันวานซืน

 

ดั่งโลกหมุนอยู่ในห้วยไม้หนา

เพื่อเคว้งคว้างกลางป่าหลังตาตื่น

เห็นเม็ดเหงื่อบนขมับจับสิวชื้น

ตายิ่งรื้นพูดไม่ออกจะบอกใด

 

เขารักมึงมึงก็รู้อยู่เขารัก

แจ้งประจักษ์อยู่เต็มตาหาลวงไม่

มึงสิรักเขาสักนิดคิดอย่างไร

ก็แจ้งใจว่าไม่รักสักขี้เล็บ

 

“อิ่มแล้วใช่ไหมพี่มีของเหลือ

งั้นแกงเนื้อใส่ถุงนะจะได้เก็บ”

พลางมือจกเอาถุงผ้าชุนปะเย็บ

ค่อยนิ้วเหน็บควักสตางค์อย่างระวัง

 

โอ้อกเอยมาเผยชั่วตัวกูนี่

สิ้นสิ่งดีขี้กลากกุมสุมสะพรั่ง

ตกลงสู่บ่อขี้กี่คราวครั้ง

มึงแหละนั่งขอบขย่มจนล้มพลัด