เรื่องอ่อนหัด และความรักที่ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว ของราชินีดอกหญ้า “ต่าย อรทัย”

ถึงวันนี้ ต่าย อรทัย ที่ใครๆ รู้จัก คือนักร้องลูกทุ่งคนดัง

แต่กว่าที่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งจะก้าวมาถึงจุดนี้ ต่ายบอกชัดเจนว่า “ไม่ได้ง่าย”

ในวัยเด็ก ชีวิตของต่าย อรทัย ก็เหมือนหลายๆ คนที่ฐานะทางบ้านไม่ดี

ดังนั้น นอกเหนือจากการเรียน เวลาว่างที่มีจึงหมดไปกับการเลี้ยงน้อง ทำงานบ้าน ทำไร่ ทำนา

ก่อนจะตามแม่เข้ากรุงตอนเรียนจบชั้นมัธยมปลายเพื่อรับจ้างซักเสื้อผ้าให้คนงานในแคมป์ก่อสร้างพักหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปยึดอาชีพสาวโรงงาน ผู้ไม่เคยทิ้งโอกาสที่จะไปประกวดร้องเพลงเพื่อสานต่อความฝัน

“แต่ตอนนั้น ประกวดก็แพ้ ไม่ค่อยเข้ารอบสักที”

ทำงานไป ประกวดร้องเพลงไป ได้สักระยะ เธอก็คิดจะไปหางานใหม่ในโรงงานอื่น ซึ่งพอตัดสินใจแล้วก็ยื่นใบลาออกทันที ทั้งๆ ที่มีคนเตือนให้หางานให้ได้ก่อนจึงค่อยลาออก แต่ด้วยวัยตอนนั้นที่ยังรุ่นๆ ก็ไม่เชื่อ คิดว่าไม่เป็นไร มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เงินทั้งหมดกลายเป็นค่าจ้างรถเพื่อเดินทางไปทิ้งใบสมัครไว้กับโรงงานหลายๆ แห่ง

และสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนั้นก็คือเสียงที่ใช้ในการร้องเพลง จึงได้ตัดสินใจไปสมัครเป็นนักร้องในสถานที่แห่งหนึ่ง

แล้วก็พบว่า ณ ที่นั้น อีกหน้าที่ของนักร้องเมื่อก้าวลงจากเวที คือการเอ็นเตอร์เทนแขก ในแบบที่อาจมีการจับเนื้อต้องตัว ซึ่งพอเห็นปุ๊บ เธอก็มีคำถามกับตัวเองปั๊บ ว่า “นี่เราจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้หรือ”

“มันไม่เห็นอนาคตข้างหน้า”

ทั้งนี้ แม้วันเวลาจะผ่านไปเกือบ 20 ปี แต่ ณ ตอนที่เล่า เจ้าตัวก็ว่าเธอยังจำความรู้สึกในวันดังกล่าวได้ดี

“พูดกับตัวเองวันนั้นเลยว่า เรารักตัวเอง เรามีศักดิ์ศรี พ่อ-แม่ให้ชีวิตเรามา ถ้ามันไม่มีอาชีพอื่นบนโลกเลยสักอาชีพ มีแค่งานอันนี้อันเดียว ถึงจะทำ”

“นั่นคือสุดๆ แล้วในชีวิต”

โชคดีที่ระหว่างทดท้อ “ก็เหมือนฟ้าประทาน” ด้วยอยู่ๆ ก็มีผู้ชักชวนให้เข้าวงการ แล้วก็กลายเป็น “ราชินีดอกหญ้า” ในใจแฟนเพลง

ถามต่าย อรทัย ที่ถึงวันนี้มีผลงานเพลงมาแล้วมากมาย และส่วนใหญ่ก็ได้รับความนิยมว่า เทียบกับความยากลำบากที่เคยเจอมา ชีวิตบนเส้นทางนี้ราบรื่นเหมือนฝันไหม?

เธอสั่นหน้าปฏิเสธ แล้วชี้แจงเพื่อความเข้าใจว่า “เป็นนักร้องนี่อุปสรรคเยอะเลยนะคะ”

“มีหลายอย่างให้ต้องเผชิญ”

หนึ่งในนั้นคือเรื่องของการต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสำหรับเธอนั่นคือแรงกดดันอย่างหนึ่ง

“ซึ่งบอกเลยว่ามาก” ว่าแล้วก็หัวเราะ

“เพราะพื้นฐานเรามีน้อย คำที่เราเคยได้ฟังมา คือชมว่าร้องเพราะ แต่พอมาเป็นศิลปินฝึกหัด รู้เลยว่าจุดบกพร่องเยอะมาก”

ทางแก้ไขที่บริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จัดให้ในตอนนั้น คือให้เรียน

“เราก็เทียวจากห้องเช่าไปตึกแกรมมี่ทุกวัน กลับมาแล้วก็ร้องไห้ทุกวัน”

“มีคำถามกับตัวเองว่ามันจะดีขึ้นไหมนี่ จะออกหัวออกก้อย จะประสบความสำเร็จ จะดูแลตัวเองได้หรือเปล่า คือมันต้องสู้กับความรู้สึกตัวเอง แล้วเป็นอะไรที่บางทีหาทางออกไม่เจอ ก็นอนร้องไห้แล้วหลับไป ตื่นเช้าก็ไปใหม่ เพราะรู้ว่าได้โอกาสแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี”

แต่อย่านึกเชียวว่า เมื่อร้องไห้ไป สู้ไป จนมีวันนี้ แล้วหนทางต่อไปจะสบายๆ ด้วยเธอบอกชัด

“ก็ยังมีภาวะอื่น”

“เรามาครั้งแรกคือการร้อง หลังจากนั้น 4-5 ปี จะร้องอย่างเดียวเหรอ ก็ต้องพัฒนา ตอนแรกความสดใหม่ เพลงใหม่ อะไรก็เหมือนดูดีไปหมด แต่พอสัก 4-5 อัลบั้มผ่านไป อ้าว, เพลงช้าอีกแล้ว เหมือนเดิมอีกแล้ว ก็ไม่ได้”

นั่นจึงกลายเป็นที่มาให้ต้องไปเรียนฟ้อนรำ เพื่อออกอัลบั้มพิเศษ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะ เหตุการณ์ก็วนลูป “ขึ้นไปโชว์มีแต่รำอย่างเดียวเหรอ”

ก็ต้องต่อยอดพัฒนา ด้วยการเรียนเต้น และโน่น นั่น นี่

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ต่ายออกตัวว่าไม่ได้เป็นการบ่นหรืออะไร แต่แค่จะบอกให้รู้ว่าจนถึงตอนนี้ เธอก็ยังตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า “เราอ่อนหัด” และมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก

ทุกครั้งเมื่อเสร็จจากการแสดงคอนเสิร์ต หรือออกพบปะแฟนๆ เธอจึงกลับมาทำการบ้าน ด้วยการประเมินตัวเองทุกครั้ง

“จะมีคำถามตลอดว่า อย่างวันนี้เล่นดีจัง คนดูนั่งตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ลุกไปไหน แต่บางวันทำไมคนกลับเร็ว มันต้องมีอะไรบางอย่าง เขารีบเพราะมันดึก บ้านเขาอยู่ไกล หรือไม่สนุก”

“ถึงยังไงมันก็ไม่จบในการพัฒนา”

“เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดต่อไป”

นักร้องสายเดี่ยว นุ่งสั้น เซ็กซี่

ความที่ถูกจัดเป็นนักร้องสายเรียบร้อย เลยถามเจ้าตัวไปว่า ถ้าหากเข้าวงการมาในตอนนี้ที่นักร้องส่วนใหญ่เทไปในสายเซ็กซี่หมด จะทำยังไง?

ฟังแล้วต่าย อรทัย หัวเราะ แล้วว่า ความจริงตอนที่เธอเข้ามา ยุคนักร้องลูกทุ่งออกแนวเซ็กซี่ก็มีอยู่

“ศิลปินลูกทุ่งแต่งตัวแบบเซ็กซี่แทบจะทุกคน”

ตอนนั้นโปรดิวเซอร์คือสลา คุณวุฒิ ก็ให้เธอลองในทุกอย่าง

“สายเดี่ยว กระโปรงสั้นแบบมินิสเกิร์ต ชุดแส็ค ลองมาหมดแล้วค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ตัวเรา”

ความรักไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว

“ตอนนี้ก็เรื่อยๆ ค่ะ จุดหมายปลายทางไม่รู้ว่าเป็นยังไง ยังไม่สามารถบอกได้ ไม่เหมือนเราไปซื้อก๋วยเตี๋ยว สั่งแล้วได้เลย แต่นี่ไม่ใช่ ใครไม่รู้ ต่างคนต่างมา ต่างพ่อต่างแม่ อยู่ดีๆ มาเจอกัน ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้ ว่าจะใช่แบบของกันและกันหรือเปล่า จะให้กำลังใจ รักกัน ดูแลกัน แล้วก็จูงมือกันไปได้นานๆ หรือเปล่า”

“อันนั้นอีกนานค่ะ มันเป็นเรื่องปลายทาง”

ที่ยังตอบไม่ได้จริงๆ