วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / เหมือนกำลังเปลี่ยน เป็นงูพิษ (64)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

เหมือนกำลังเปลี่ยน เป็นงูพิษ (64)

 

แต่ละจังหวะก้าว แต่ละลีลา สะท้อนกระบวนการทำงานของเหมยฉางซูออกมาอย่างเด่นชัด เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าแปรเปลี่ยนของอวี้หวังก็ตระหนักว่าคำพูดของตนกระตุ้นจิตใจของอีกฝ่ายได้สำเร็จ มุมปากพลันหยักขึ้นเล็กน้อย

ก่อนเสริมอีกประโยคหนึ่งออกไปอย่างสบายอารมณ์

“สมมุติว่ารัชทายาทแสดงพฤติกรรมคิดไม่ซื่ออันใดขึ้นมาจริงๆ เมื่อกระทบถึงฝ่าบาท ด้วยอุปนิสัยแข็งกร้าวของจิ้งหวังเขายังต้องรอให้ท่านไปออกคำสั่งถึงยอมยกทัพต่อต้านหรือ”

“ไห่เยี่ยน” บรรยายว่า เส้นทางส่งแขกของเหมยฉางซูเป็นเวลานาน 2 เค่อ (ประมาณ 30 นาที) จึงบรรลุถึงประตูใหญ่ ก่อนอวี้หวังขึ้นเกี้ยวยังจงใจฉุดดึงเหมยฉางซูข้ามธรณีประตูออกมาก่อนโอบบ่ากำชับอย่างสนิทสนม

“ท่านซูสุขภาพไม่แข็งแรง อย่ายืนต้านลมที่หน้าประตูนานนัก”

เหมยฉางซูมองแวบหนึ่งในใจลอบคิดว่า “เป็นคนลากผู้อื่นออกมาแท้ๆ ยังแสร้งเป็นห่วงใย” ทว่าใบหน้ากลับแย้มยิ้มตอบกลับ

“บริเวณนี้ลมแรงจริงๆ องค์ชายก็รีบขึ้นเกี้ยวเถอะ อภัยที่แซ่ซูไม่อาจส่งไกล”

ท่วงทำนองของเหมยฉางซูตั้งแต่ต้นกระทั่งภายหลังจากนั้นสมควรให้ความสนใจ

 

ม่านคลุมเกี้ยวอวี้หวังเพิ่งปิดลง เหมยฉางซูรีบหันหลังกลับเข้าด้านใน เร่งฝีเท้าอ้อมพ้นผนังฉากกั้นมาได้ก็ก้มตัวอาเจียนรุนแรงติดต่อกันหลายครา

ราวกับต้องการถ่มเอามลพิษอะไรสักอย่างออกมาให้หมดสิ้นกระนั้น

ได้ยินเสียงเรียก “พี่ซู” หันมองไปเห็นเฟยหลิวเอียงคอ เบิกตากลมโตมองดูด้วยความห่วงหาอาทรอยู่ด้านหลัง

“ไม่เป็นไร” เอ่ยพลางผุดรอยยิ้มที่มุมปาก” เมื่อครู่เล่นกับงูพิษมากไปถึงได้รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา”

“งูพิษหรือ” เฟยหลิวแตกตื่น สายตาสอดส่าย 4 ทิศอย่างรวดเร็ว หมายค้นหางูพิษที่เหมยฉางซูเอ่ยถึง

“เลื้อยออกไปแล้ว” เหมยฉางซูอดหัวเราะไม่ได้

“ไม่เป็นไร พี่ซูรู้จักงูตัวนั้นมานานแล้ว รู้ว่าพิษของมันอยู่ตรงไหน รับรองไม่มีวันถูกกัดแน่ มีเฟยหลิวอยู่ทั้งคน ใครจะกล้ากัดพี่ซู”

แล้วสุ้มเสียงก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมอง

“อีกอย่าง พี่ซูเอง ตอนนี้เหมือนจะเปลี่ยนเป็นงูพิษตัวหนึ่งแล้วเช่นกัน”

หลังจากอวี้หวังเดินทางมาเยือน หลังสนทนายาวยืดเยื้อกับอวี้หวัง เป้าหมายต่อไปของเหมยฉางซูย่อมเป็นจิ้งหวัง

 

เมื่อเดินเข้าไปในโถงเงาพยัคฆ์ภายในจวนของจิ้งหวัง ปรากฏทหารใต้บัญชาของจิ้งหวังยืนเรียงรายเป็นระเบียบ กว่าครึ่งเป็นคนคุ้นเคย มีไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก

ทั้งหมดล้วนเป็นทหารกล้า แววตาเด็ดเดี่ยว รูปร่างสูงใหญ่ กำยำ

“ท่านนี้คือท่านซู ซูเจ๋อ” จิ้งหวังแนะเหมยฉางซูต่อทหาร หยุดไปเล็กน้อยค่อยเสริมอีกประโยค “เป็นสหายของข้า ต่อไปทุกคนดูแลซึ่งกันและกัน”

เหล่าทหารเปล่งเสียงขานรับโดยพร้อมเพรียง

“ไห่เยี่ยน” ระบุว่า เหมยฉางซูยิ้มบางๆ ผงกศีรษะพอเป็นพิธี พร้อมกับครุ่นคิด “สหายรึ ได้แต่บอกว่าเป็นสหายแล้ว ตอนนี้คงยังไม่ประกาศต่อผู้ใต้บังคับบัญชาว่าเราเป็นที่ปรึกษากระมัง”

แล้วจิ้งหวังก็เดินนำเหมยฉางซูไปยัง “ห้องหนังสือ”

จากสภาพการณ์เมื่อครู่เห็นชัดว่าตอนที่ทหารยามเข้ามายื่นเทียบคารวะ ทุกคนคงประชุมกันเกือบเสร็จแล้ว ทว่า เหล่าขุนพลต่างใคร่รู้อยากเห็นว่าซูเจ๋อซึ่งกำลังโด่งดังไปทั่วนครจินหลิงในเวลานี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร จิ้งหวังจึงต้องพาเหมยฉางซูมาเผยโฉม

ในความคิดของเหมยฉางซู “ไม่ทราบว่าทหารหาญกลุ่มนั้นเห็นท่าทางขี้โรคของเราแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ตลอดมารสนิยมในกลุ่มทหารมักดูแคลนคนที่อ่อนแอ ไม่มีความทนทานต้านแดดต้านลม คิดถึงปีนั้นท่านอาเนี่ยเพิ่งเข้ากองทัพอัคคีแดงใหม่ๆ

ไยมิใช่ถูกเรากับจิ่งเหยียนแสดงท่าทีรังเกียจเช่นกัน จนเมื่อเขานำทัพชนะสงครามอันดุเดือดหลายครั้งติดต่อกันเราถึงได้มีความรู้สึกต่อเขาดีขึ้น”

เห็นจิ้งหวังก็นึกถึงอดีต เป็นอดีตสมัยอยู่กองทัพอัคคีแดง

 

นี่ย่อมเป็นความฝังใจอย่างลึกซึ้งของเหมยฉางซู เป็นความฝังใจระหว่างเหมยฉางซูกับจิ้งหวัง เป็นความฝังใจระหว่างเหมยฉางซูกับกองทัพอัคคีแดง

ยุทธนิยาย “บุรุษบูรพา ทำเนียบหลางหยา” ดำเนินท่วงทำนองแบบนี้

เป็นท่วงทำนอง “แฟลชแบ็ก” ในกระบวนท่าแบบดำรงอยู่กับปัจจุบัน แต่ก็ย้อนรำลึกไปยังอดีต เอาอดีตมาเป็นบทเรียนสอนใจ ขับเคลื่อนความรู้สึกไปข้างหน้าด้วยแรงแค้นจากอดีต ผลักดันการดำเนินกลยุทธ์ไปในความร้อนแรงของปัจจุบัน

การผสมผสานระหว่างเหมยฉางซูกับจิ้งหวังจึงเป็นการผสมผสานอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกัน และขับเคลื่อนด้วยปัจจุบันโดยมีแรงดาลใจมาจากอดีต