วงค์ ตาวัน | ความตายไม่สูญเปล่า

วงค์ ตาวัน

มีการกล่าวขวัญถึงผู้คนในอดีตที่มีบทบาทในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเสมอภาคของผู้คน ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมที่เต็มไปด้วยเหลื่อมล้ำ จนเป็นเหตุให้ถูกอำนาจเผด็จการปราบปรามเข่นฆ่า

นำมากล่าวขวัญในท่ามกลางการลุกขึ้นมาต่อสู้ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในวันนี้

เป็นเครื่องยืนยันว่า นักเรียน-นักศึกษาที่เป็นแถวหน้าของการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา ถูกปั่นหัว ถูกชักใย

แต่เป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่เรียนรู้เรื่องราวในอดีตมาอย่างถ่องแท้ จนสามารถทบทวนและแยกแยะได้ชัดเจนว่า ใครคือนักต่อสู้เพื่อคนส่วนใหญ่ที่แท้จริง เพื่อก้าวเดินต่อไปในการสร้างการเมืองไทยให้พัฒนาก้าวหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

ศึกษาจิตใจจากคนในอดีต นำมาเรียนรู้ เพื่อเดินหน้าต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของคนในยุคนายเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลภูพาน นักการเมืองที่เป็นตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นครูครอง จันดาวงศ์ นักเคลื่อนไหวที่กลายเป็นนักโทษประหารชีวิต ข้อหากบฏและคอมมิวนิสต์ ต้องสังเวยมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

จนเป็นที่จารึกเอาไว้ตั้งแต่ปี 2504 จนถึงวันนี้ ด้วยถ้อยคำที่ได้เปล่งขึ้นระหว่างถูกนำตัวเดินเข้าหลักประหารว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ”

รวมไปถึงวีรชนมากมายในพื้นที่ชนบท ที่ต่อสู้หรือเป็นเหยื่อในยุคที่รัฐบาลเผด็จการปราบปรามคอมมิวนิสต์แบบเหวี่ยงแห

แม้แต่การเข้าร่วมสนับสนุนการต่อสู้ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยกลุ่มชาวพัทลุงปลดแอก ก็ทำให้ได้รำลึกถึงเหยื่อ “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง” ก็คือชาวบ้านในพื้นที่พัทลุงและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นเขตที่มีการสู้รบระหว่างคอมมิวนิสต์ในป่ากับทหารรัฐบาลอย่างดุเดือด

ฝ่ายรัฐบาลและทหาร ได้ใช้นโยบายเหวี่ยงแห สงสัยประชาชนในหมู่บ้านไหน ตำบลไหน ว่าอาจเป็นผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์ ก็เข้าจับกุมตัว มาสอบสวนแบบทารุณ กระทั่งฆ่าทิ้ง

กลายเป็นปฏิบัติการลือลั่น ถีบลงเขา หมายถึงเอาตัวไปสอบสวนแล้วนำขึ้น ฮ. ก่อนถีบร่างลงไป รวมทั้งเอาไปเผาในถังแดงหรือถังน้ำมัน 200 ลิตร

พรรคอมมิวนิสต์เริ่มสู้รบด้วยอาวุธกับรัฐบาลตั้งแต่ปี 2508 จนถึงประมาณปี 2523-2524

ขณะที่การถีบลงเขา เผาลงถังแดง เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ปี 2510 จนถึงราวปี 2516 เริ่มยุติลง เนื่องจากหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งขบวนการนักศึกษา-ประชาชน มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบรัฐบาล และเข้ามาขุดคุ้ยเหตุการณ์กวาดล้างคอมมิวนิสต์ที่ทำให้ชาวบ้านตกเป็นเหยื่อมากมาย

เหล่านี้เป็นเรื่องราวของคนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อเสรีภาพประชาธิปไตยในบ้านเมืองเราที่มีมาอย่างยาวนาน และถูกปราบปรามเข่นฆ่ามาตลอด

ไปจนถึงช่วงที่เกิดสงคราม ยุคคอมมิวนิสต์ต่อสู้กับรัฐบาล แล้วมีการใช้อำนาจทหารเข้าแก้ปัญหา จนทำให้ประชาชนต้องเป็นเหยื่อไปด้วยจำนวนมาก ไม่แค่ถีบลงเขา เผาลงถังแดงเท่านั้น แต่มีอีกหลายเหตุการณ์ในหลายพื้นที่

นี่คือประวัติศาสตร์ของการใช้อำนาจเผด็จการในบ้านเมืองเรา และเรื่องราวของคนที่สูญเสียแต่ไม่สูญเปล่า เพราะยังได้รับการกล่าวถึงและยกย่องโดยคนรุ่นใหม่ในวันนี้!

ในการชุมนุมใหญ่เมื่อ 19 กันยายนที่ผ่านมา ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ มีการเข้าร่วมอย่างคึกคักของชาวเสื้อแดง จนกล่าวกันว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของขบวนการประชาชน “นปช.” โดยเข้ามาเป็นแนวร่วม ในฐานะผู้ที่ผ่านการถูกปราบถูกเข่นฆ่ามาก่อน จึงเข้ามาสนับสนุนและร่วมปกป้องเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานในการต่อสู้ยุคนี้

ในโลกโซเชียลมีการบอกเล่าว่า เช้าวันที่ 19 กันยายน ก่อนที่เสื้อแดงบางคนจะออกจากบ้าน เพื่อเดินทางมายังธรรมศาสตร์และสนามหลวง ได้จุดธูปบอกกล่าวกับดวงวิญญาณของเพื่อนที่จากไปในเหตุการณ์ 99 ศพ เหยื่อกระสุนจริงในการสลายม็อบเมื่อ 10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553

ขอให้ดวงวิญญาณ 99 ศพ ได้ช่วยคุ้มครองการต่อสู้ของเด็กรุ่นใหม่ ให้ปลอดภัยและได้รับชัยชนะ!

ในเช้า 19 กันยายน มีเสื้อแดงนับหมื่นเข้าร่วมปกป้องการต่อสู้ของเยาวชนรุ่นใหม่ และเชื่อว่าคงจะร่วมสนับสนุนต่อไปในการเคลื่อนไหวจากนี้ เนื่องจากเป็นการต่อสู้เพื่อการเมืองของประชาชนคนเดินดิน สอดคล้องกัน

บนเวทีของเด็กนักเรียน-นักศึกษา ได้กล่าวยกย่องขบวนการต่อสู้ในเหตุการณ์นองเลือดในอดีต เพื่อยกย่องเชิดชู และเพื่อสานต่อ

ทั้ง 14 ตุลาคม 2516 ที่ได้ลุกขึ้นมาล้มรัฐบาลทหาร

สำคัญที่สุดคือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นวันที่กลุ่มอนุรักษนิยมการเมืองไทย กลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มขวาจัด กวาดล้างเข่นฆ่าขบวนการนักศึกษา-ประชาชน ที่เกิดและเติบโตมาจาก 14 ตุลาคม 2516

ความเหี้ยมโหดในการเข่นฆ่าเมื่อ 6 ตุลาคม ดูจะเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจเด็กรุ่นใหม่ในวันนี้อย่างมาก

ฉากเอาศพไปแขวนกับต้นมะขามสนามหลวง แล้วเอาเก้าอี้ฟาด กลายเป็นสัญลักษณ์ที่คนรุ่นนี้กล่าวขานอย่างมาก

เป็นเครื่องยืนยันว่า ฝ่ายอำนาจเก่า ฝ่ายขวาจัด พร้อมจะดิ้นรนรักษาอำนาจอันล้าหลัง ด้วยการฆ่าคนที่คิดต่างอย่างไม่หวั่นเกรงอะไร

ทั้งเป็นบทเรียนที่บอกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงอำนาจและการเมืองไทยให้พ้นจากวงจรเดิมๆ ก็จะต้องมีเหตุการณ์ฆ่าคนได้ง่ายๆ กลางเมืองเช่นนี้เกิดขึ้นอีก!

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 99 ศพ ปี 2553 ที่เสื้อแดงตกเป็นเหยื่อ ก็ได้รับการพูดถึงบนเวทีของเยาวชนในวันนี้

รวมทั้งเพื่อยกย่องการต่อสู้ของขบวนการจากชาวชนบท ที่เน้นสร้างการเมืองที่เป็นของประชาชนอีกด้วย

การต่อสู้ของประชาชน เมื่อพฤษภาคม 2535 เป็นอีกเหตุการณ์ที่เด็กรุ่นปัจจุบันนำมาศึกษาเรียนรู้ เนื่องจากเป็นการต่อสู้เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มีนายกฯ จากทหาร และเพื่อเรียกร้องให้รัฐธรรมนูญต้องระบุอย่างชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนเท่านั้น

ไม่ต้องการเปิดช่องให้อำนาจนอกระบบสามารถแทรกแซงการเมืองได้

ไม่ต้องการผู้นำกองทัพที่เดินเข้ามาเป็นนายกฯ ได้ง่ายๆ เพราะมีปืนมีรถถังดันหนุนหลัง

วีรชนพฤษภาทมิฬ 2535 เสียเลือดเนื้อชีวิต เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง จากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ทั้งรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ก็กำหนดให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น

เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคนที่สละชีวิตเมื่อพฤษภาคม 2535

จนกระทั่ง ด้วยการชุมนุมของม็อบนกหวีด ที่อ้างปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง คือ ไม่ยอมให้เลือกตั้ง จนนำมาสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นำมาสู่การลบล้างการต่อสู้ดังกล่าว

ทำให้ได้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่ยอมเขียนให้ชัดว่านายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เปิดกว้างให้คนนอกเป็นนายกฯ ได้ ด้วยการเอาชื่อใส่ไว้ในบัญชีแคนดิเดตของพรรคการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องมาลงสนาม ไม่ต้องเดินหาเสียง

ที่สำคัญเขียนกติกาให้ 250 ส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ ได้ ก็คือ การล็อกตัวนายกฯ เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

นี่คือไม่เคารพเจตนารมณ์ของวีรชน 2535 และสร้างการเอารัดเอาเปรียบ สร้างการเอื้อประโยชน์ให้กับนายกฯ ที่มาจากฝ่ายขุนศึกขุนนาง

สำคัญสุดคือ ทำให้การเมืองไทยไม่สามารถมีคนรุ่นใหม่ๆ วิสัยทัศน์กว้างไกล เข้ามาเป็นผู้นำในการบริหารบ้านเมืองให้เจริญรุดหน้าได้

ไม่มีการเมืองที่มีการรัฐประหารบ่อยๆ ในประเทศไหนแล้วจะได้การเมืองที่ดี เศรษฐกิจที่รุดหน้า เพราะจะไม่มีทางได้ผู้นำการเมืองที่คิดใหม่ คิดกว้างไกล

อ้างแต่เรื่องความสงบ เพื่อเอาผู้นำจากทหาร และเพื่อมาจัดงบประมาณเพื่อความมั่นคง อาวุธยุทโธปกรณ์

การต่อสู้ของนักเรียน-นักศึกษาจึงเกิดขึ้นในวันนี้

โดยเรียนรู้บทเรียนและจิตใจจากคนที่เคยต่อสู้และสูญเสียในอดีต อันเป็นความตายที่ไม่สูญเปล่า!