วิถีแห่งกลยุทธ์ / เสถียร จันทิมาธร /หลอกล่อ ให้เข้าไปสู่วงล้อม (63)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์/เสถียร จันทิมาธร

หลอกล่อ ให้เข้าไปสู่วงล้อม (63)

 

ขณะเดินไปเรียงเคียงข้างกับอวี้หวัง มีความจำเป็นที่เหมยฉางซูจะชะงักฝีเท้าลงแล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าอันราบเรียบ

“ลำพังแค่คดีเมืองปินโจว แน่นอนว่าไม่จำเป็น

แต่องค์ชายก็ทราบ คดีนี้เป็นเพียงต้นแบบ หลังจากสรุปคดีเสร็จสิ้น แต่ละพื้นที่ก็จะส่งรายงานเกี่ยวกับคดีลักษณะนี้เข้ามาอีกเป็นจำนวนมากซึ่งล้วนแต่พัวพันถึงตระกูลขุนนางใหญ่โตทั้งสิ้น

และจิ้งหวังยังขาดประสบการณ์ในการรับมือด้านความสัมพันธ์อันซับซ้อนของขุนนางแต่ละชั้น

หากยามนี้องค์ชายยื่นมือช่วยเหลือให้เขาสยบกระแสต่อต้านจากเหล่าชนชั้นสูงศักดิ์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้นโยบายด้านกสิกรรมของฝ่าบาทดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นมั่นคง เกษตรกรชาวนากินดีอยู่ดี ปราศจากการถูกข่มเหงจากคนใหญ่คนโต

เช่นนี้แล้วจิ้งหวังมีหรือจะไม่ซาบซึ้งต่อองค์ชาย”

อวี้หวังสูดหายใจลึก คล้ายจู่ๆ ตรงหน้าก็ปรากฏเส้นทางสายใหม่ซึ่งตนไม่เคยพบเห็นมาก่อนในห้วงสมองค่อยๆ แจ่มชัด “ความหมายของท่านซูคือ…”

คำตอบจากเหมยฉางซูแจ่มชัดยิ่ง

“ซิ่งกั๋วกงมีคุณค่าอันใดให้องค์ชายบังเกิดความรู้สึกเสียดาย ต่อให้ซิ่งกั๋วกง 2 คนรวมกันหรือยังเทียบได้กับจิ้งหวังเพียงคนเดียว”

 

ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าอวี้หวังมีแววตื่นเต้นผุดพร่างขึ้นมาจนต้องเดินวนเป็นวงรอบหนึ่งตรงที่เดิมด้วยใบหน้าแดงฝาด

“ถ้าได้จิ้งหวังมา แน่นอนว่า…แต่นิสัยของเขา ข้าเกรงว่าจะควบคุมไม่อยู่”

แววตาเย็นยะเยียบของเหมยฉางซูประหนึ่งคมดาบคุกคามถึงดวงตาของอวี้หวัง “ควบคุมไม่อยู่ก็ต้องควบคุม หนิงกั๋วโหวเป็นคนของรัชทายาทไปแล้ว เวลานี้นอกจากจิ้งหวัง ในบรรดาขุนนางฝ่ายทหารยังมีผู้ใดสามารถงัดข้อกับเขาได้”

ในใจอวี้หวังตระหนักดีว่า คำพูดนี้ไม่เป็นเท็จ

หว่างคิ้วยิ่งย่นอยู่เป็นก้อน “คิดประทะกับเซี่ยอวี้ซึ่งๆ หน้า คนอื่นกลับบารมีไม่ถึงจริงๆ แต่จิ้งเหยียนเป็นคนหัวแข็งอย่างยิ่ง ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลาใช้สอยขึ้นมาเขาจะไม่เชื่อฟัง”

เหมยฉางซูหันกลับมาช้าๆ ประสานสายตาถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า

“องค์ชายคิดกุมอำนาจฝ่ายทหารหรือ คิดกุมอำนาจเพื่ออะไร เพื่อเตรียมก่อกบฏบีบให้ทรงสละราชบัลลังก์รึ”

เป็นการถามตรง เป็นการตีไปยังเป้าลึกๆ อันเป็นความนัย

ผลก็คือ อวี้หวังตระหนกตกใจ สะดุ้งจนตัวโยน ก่อนลอบมอง 4 ทิศด้วยสายตาหวาดระแวงแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“ท่านซูกล่าววาจาเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าหากมีจิตเจตนาคิดคด ขอให้ฟ้าดินลงทัณฑ์”

 

คําถามอันเป็นความต่อเนื่องจากเหมยฉางซูก็เป็นการถามตรง เป็นการตีเข้าไปยังเป้าอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นเดียวกัน

“ในเมื่อ 1 ไม่คิดบีบให้สละราชบัลลังก์ 2 ไม่คิดก่อการกบฏ

ดังนั้น ‘เชื่อฟัง’ 2 คำนี้จะมาจากไหน”

น้ำเสียงเหมยฉางซูยะเยียบเย็นปานน้ำแข็ง “ประโยชน์ของจิ้งหวังเพียงเพื่อเสริมบารมี ต่อให้ฝ่ายรัชทายาทมีเซี่ยอวี้ หรือแม้กระทั่งเพิ่มขุนนางชั้นโหวเข้าไปอีกคนหนึ่ง ล้วนไม่นับเป็นอันใด

ขอเพียงข้างกายองค์ชายมีจิ้งหวัง มีหนีหวงจวิ้นจู่ ภายหน้าเมื่อถึงเวลาที่ฝ่าบาททรงพิจารณาชั่งน้ำหนัก อย่างน้อยบารมีอำนาจทางทหารระหว่างท่านกับรัชทายาทก็เสมอกัน ไม่ถึงกับถูกเขากดข่ม ขอแค่ไม่ทับเส้นทางขุนนางคนไหน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสามารถนำมาเป็นเครื่องมือ

เพียงเพื่อแสดงให้ฝ่าบาททอดพระเนตร หามิใช่นำมาใช้สอยอย่างแท้จริง”

“ไห่เยี่ยน” มีความเห็นว่า บรรดาที่ปรึกษาหลายคนในจวนของอวี้หวังปกติมักร่วมกันวิเคราะห์แนวโน้มทิศทางของสถานการณ์ในราชสำนักต่อหน้าเขา ทว่ากลับไม่เคยมีใครเสนอความคิดเห็นแปลกใหม่เช่นนี้มาก่อน

พลันบังเกิดความรู้สึกเหมือนเปิดโลกทัศน์ใหม่ ห้วงสมองที่เคยยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ก็ค่อยๆ สว่างโล่งขึ้นมา

“จริงด้วย ฝ่ายทหารเทียบไม่ได้กับฝ่ายพลเรือน ไม่มีความจำเป็นต้องกำราบจนอยู่มือ เพราะทหารองครักษ์ทั้งหมดของนครจินหลิงซึ่งขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิล้วนอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของเหมิงจื้อ

ความเป็นไปได้ในการใช้ทหารบุกเข้าวังช่วงชิงบัลลังก์นับว่าเป็น 0

ดังนั้น สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงก็คือการสร้างภาพขุมกำลังในมือให้แลดูยิ่งใหญ่เท่านั้น แล้วจะต้องให้เชื่อฟังไปทำไม”

 

แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ดำเนินไปในแบบกลยุทธ์ ล่ออวี้หวังให้หลุดเข้าไปอยู่ในวงล้อมอันเหมยฉางซูกำหนดวางเอาไว้เสร็จสรรพ

สร้างความหวังให้กับอวี้หวังทอดตามองไปยังจิ้งหวัง

อาศัยเงื่อนไขและการหนุนเสริมจากอวี้หวังกรุยทางให้กับจิ้งหวังในการปฏิบัติภารกิจไต่สวนกรณีซิ่งกั๋วกง