การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ครั้นสุรีย์สีแสงมาแต่งสร้าง

จานข้าวยังตั้งซ้อนเมื่อนอนคู่

พัวพันอยู่กระทั่งสิ้นครางแผ่ว

จนกระทั่งบางไหวในตาแวว

บอกฉัน “เธอรักฉันแล้ว…ดีใจจัง”

 

แดดสาดมาเวลาหนึ่งให้พึงตื่น

แสงทองอาบทาบพื้นถึงเบาะนั่ง

คราบข้าวเกาะจานเกรอะเปื้อนเลอะกรัง

แก้วน้ำตั้งถ้วยซ้อนพลางช้อนคา

 

ร่างยังอุ่นกอดแนบชิดแอบอก

ผมรุ่ยตกคลุมไหล่เคลียใบหน้า

กลิ่นสาบใต้รักแร้แพขนตา

เหงื่อซึมมายิ่งนำกลิ่นกำจาย

 

มีสิวฝ้าคละแป้งแต่งเมื่อค่ำ

ดังล้างน้ำไม่หมดเช้าจรดบ่าย

อึดอัดในซอกขามาก่ายกาย

แลน้ำลายซึมปากขากในฝัน

 

ชั่ววูบอยากผลักไสดันไหล่ออก

แต่อีกใจกระฉอกกลับไหวสั่น

จะลูบนิ้วตรงไหนให้ขุยคัน

เหมือนกลางวันเป็นอีกอย่างต่างยามคืน

 

จึงเพียงแต่นอนนิ่งทิ้งหัวอยู่

กระทั่งหูยินเหมือนเพื่อนจะตื่น

ใจกระโจนพ้นร่างอยากรีบยืน

แต่ขาขืนแข็งแช่ได้แต่นอน

 

“โอย…ง่วงจังยังง่วงเหมือนถ่วงเหล็ก

ใครนะเต็กฉันเสียจนเพลียอ่อน”

เสียงกังวานหวานคำแสร้งทำย้อน

พลางเอื้ออ้อนซุกหัวอยู่พัวพัน

 

“กี่โมงแล้วหรือนี่…มีแดดจ้า”

“ช่างมันน่าห้องนี้มีม่านกั้น”

“ลุกกันเถอะแดดจัด” สะบัดพลัน

“ทำไมรีบไล่ฉันจังเลยจ๊ะ”

 

ถอนหายใจ “ไม่นี่” “พี่อย่าพูด…

การกระทำพิสูจน์เสมอล่ะ”

ถอนหายใจอีกเบา “ไม่เอานะ

ก็แค่จะรีบตื่นขึ้นหางาน”

 

มือค่อยลดจรดลงยังคงกอด

แขนซ้อนสอดซุกหน้าเกลื่อนฝ้ากร้าน

“ขอโทษนะ…กลัวเธอเผลอรำคาญ

เพราะนมนานฉันยังห่วงกังวล”

 

“ไม่เป็นไรหรอกหวาน…” จึงขานเสียง

หากก็เพียงหุ่นลากชักปากหล่น

“ฉันแค่คิดเรื่องตัวกลัวความจน

ให้เป็นคนกาฝากลำบากเธอ”

 

“ไม่เอาพี่” มือเพื่อนเลื่อนปิดปาก

“เรื่องลำบากชั่วดีมีเสมอ

สำหรับฉันครั้งนี้ที่พบเธอ

คือการเจอสิ่งที่แสนดีนัก”

 

ยิ่งเพื่อนพูดเหมือนไฟไหม้ผะผ่าว

ทุกคำข้าวย่อยในลำไส้หนัก

ยิ่งตะวันฉานฉายในห้องพัก

ยิ่งประจักษ์ความเลวและเหวรอ

 

นาฬิกาเข็มชี้ที่เลขสิบ

เพื่อนลุกหยิบหมวกใหญ่มาให้ “ล่อ”

เป็นคำถิ่นคือ “ลอง” ประคองคอ

พลางหัวร่อ “ก็สวยดีสีดำฟ้า”

 

จ้องกระจกยกไหล่ผลักไสหมวก

“ไม่สะดวกเธอไว้ใช้เถอะน่า

“ข้างนอกมีแดดแรงแสงส่องตา”

“ไม่เป็นไรใบหน้าฉันชาชิน”

 

“งั้นรอไปด้วยกันถ้าวันหยุด”

เกือบสะดุดปากสียังมีกลิ่น

“จะได้พาเธอเลาะเสาะของกิน

แล้วหาถิ่นหาร้านดูงานไป”

 

ฉันไปเองก็ได้…ใจอยากพูด

แต่ก็รูดซิปอมลมก้อนใหญ่

เก็บพะนำคำแสนคับแน่นไป

เพียงพยักหน้าให้ “ได้…ตามนั้น”

 

จากเสื้อซับยับบ้างกางเกงเก่า

บัดนี้ชายเสื้อเข้ากระโปรงสั้น

มีระบายรายรอบดังขอบคัน

เหมือนใครควั่นดินสอสีมีหยักรุ้ง

 

คอเสื้อกว้างขวางพาดคาดอักษร

เต่งตูมงอนปลายนมก้มก็พุ่ง

ขณะเนื้อผ้ายืดรั้งอืดพุง

ซังผมยุ่งเหมือนนกจกสานรัง

 

เพื่อนเบือนหน้ามาถาม “งามไหมจ๊ะ”

ก่อนเดินผละกระจกก้มยกตั่ง

“เก็บก่อนเนาะกลัวจะไม่ระวัง

สะดุดหลังหงายทิ่มจะอิ่มลม”

 

เพียงยิ้มเจื่อนเบือนหน้าว่าเห็นชอบ

ไร้คำตอบคำใดจะให้สม

ในความเงียบอึงอลท้นอารมณ์

อดสูข่มใจรู้กูสามานย์

 

ครั้นยามอยากปากลิ้นกินอร่อย

พออิ่มพลอยอยากโยนพ้นทางผ่าน

เอร็ดรสซดชั่วตัวเบิกบาน

ความสราญชื่นใจเหมือนไฟเปล

 

โอ้อกเอ๋ยเผยชาติเห็นธาตุชั่ว

ที่เกลือกกลั้วขระเขรอะหนะเหนอะเหลว

คือตัวกูผู้ทำแต่ความเลว

ควรหรือจะพ้นเหวด้วยมือใคร

 

แลกระโปรงพะยาบทาบแก้มก้น

เคยมือซนล้วงคลึงถึงซอกใต้

เมื่อความมืดทอทาบลงอาบไป

กลับไสวใจดาลในม่านมัว

 

ครั้นสุรีย์สีแสงมาแต่งสร้าง

วันสว่างฉุดตามาโงหัว

ก็สะทกอกกูเกิดรู้ตัว

แต่ย่อมพัวพันเหลือเป็นเยื่อยาง

 

จึงเพียงเดินตามหลังกระทั่งเพื่อน

ชะลอเท้าก้าวเคลื่อนมาเคียงข้าง

มือคว้าจับมือยื้อไว้ให้ร่วมทาง

จึงใจจึงอ้างว้างอย่างชั่วช้า