บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ / ตามหาลูก ‘ประยุทธ์’-อนุบาลชู 3 นิ้ว อาการคลั่งประชาธิปไตยจน ‘ขาดสติ’

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ตามหาลูก ‘ประยุทธ์’-อนุบาลชู 3 นิ้ว

อาการคลั่งประชาธิปไตยจน ‘ขาดสติ’

 

การคลั่งประชาธิปไตยจนเสียสติสัมปชัญญะ ของคนบางจำพวกที่เราเห็นอยู่ในโลกออนไลน์ ดูแล้วก็สะท้อนใจ และน่าสิ้นหวัง เพราะมันสะท้อนความมืดบอดทางประชาธิปไตย ประจานความไม่รู้ ไม่เข้าใจประชาธิปไตย และขาดไร้ซึ่งจิตวิญญาณของนักประชาธิปไตย

เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจแก่นแท้ของประชาธิปไตย คนเราก็มักทำในสิ่งตรงข้าม

คือทำตัวเป็นเผด็จการ ระราน คุกคามคนอื่นเสียเอง

แต่ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นคุกคามคนอื่น หนำซ้ำกลับโวยวายหาว่าคนที่ตัวเองไปคุกคาม หมิ่นประมาทนั้น เป็นฝ่ายคุกคามตัวเอง

จึงน่าเวียนหัวกับตรรกะของคนพวกนี้

 

ปรากฏการณ์ที่อธิบายมาข้างต้นนั้น เห็นได้จากกรณีเกรียนคีย์บอร์ด ที่คงจะเป็นแนวร่วมของพวกที่ (ถือวิสาสะ) เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งพากันโพสต์และติดแฮชแท็ก “ตามหาลูกประยุทธ์” มีการแชร์ต่อๆ กันไปในโลกออนไลน์ เพื่อให้สมาชิกคอเดียวกันมาด่า โจมตีด้วยข้อความเท็จและหยาบคายมากมาย

มีการกล่าวหาด้วยข้อความร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นช่วยพ่อฟอกเงินที่โกงมาด้วยการเปิดบัญชีในต่างประเทศ อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ต่างประเทศที่มีเจ้าสัวซื้อให้

สอบตกปริญญาโท แต่อธิการบดีถูกกดดันให้รับเข้าเรียน หรือแม้กระทั่งสงสัยว่าทำไมทำตัวเงียบจัง ไม่เคยเห็นออกงานร่วมกับบิดา-มารดา อีกทั้งไม่เคยมีภาพหลุดในโลกโซเชียล

แฮชแท็ก “ตามหาลูกประยุทธ์” คือปฏิบัติการตามล่าหาตัวลูกสาวแฝดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งค่อนข้างโลว์โปรไฟล์มาโดยตลอด นับตั้งแต่บิดาเป็นหัวหน้า คสช.และนายกฯ มา 6 ปี

การตามล่าลูกสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เพื่อหวังจะใช้ทุบผู้เป็นบิดา ที่กำลังเป็นเป้าหลักของม็อบซึ่งกำลังชุมนุมเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกอยู่ในขณะนี้

ทำให้ในที่สุดลูกสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบหมายให้ทนายดำเนินการฟ้องร้องบรรดาบุคคลในโลกโซเชียลจำนวนนับร้อยในข้อหาหมิ่นประมาท เพื่อปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงของตัวเอง

พร้อมกันนั้นได้ชี้แจงข้อกล่าวหาใหญ่ๆ ประมาณ 10 ประเด็น

ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว เกรียนคีย์บอร์ดเหล่านี้น่าจะแพ้คดีค่อนข้างแน่

 

ตอนนี้บางคนเริ่มทยอยเข้าพบตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งบางคนยอมขอโทษอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่บางคนยังมืดบอด โวยวายว่าแค่ตั้งคำถามเฉยๆ ทำไมจึงโดนคดี แล้วก็พูดตามสูตรว่าถูกผู้มีอำนาจคุกคาม ทั้งที่หากไปดูโพสต์เต็มๆ ของผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้ตั้งคำถาม แต่ “กล่าวหา” เลย และกล่าวหาร้ายแรงเสียด้วย นั่นก็คือ หาว่าช่วยบิดาฟอกเงิน

ถ้าเธอผู้นี้คิดว่าสิ่งที่เธอโพสต์เป็นแค่การ “ตั้งคำถาม” แสดงว่าสมองของเธอมีปัญหา ไม่สามารถแยกแยะ วิเคราะห์ได้ว่าอะไรคือการตั้งคำถาม อะไรคือการกล่าวหา ดังนั้น ชีวิตก็ต้องตกอยู่ในความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป

การที่เดือดร้อนไม่ได้เกี่ยวกับว่าถูกใครคุกคาม แต่เดือดร้อนเพราะความไม่รู้จักคิด ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย สรุปแล้วก็คือ “รู้น้อย” แต่มั่นใจสูง ใช้อารมณ์นำสมอง

ปกติคนที่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ควรจะเป็นคนฉลาด รู้จักคิด-แยกแยะ รู้จักใช้เหตุผล ไม่ใช่ลามปามไปเล่นงานลูกสาวเพียงเพราะเกลียดพ่อ ทั้งที่ลูกสาวของเขาก็ยังไม่เคยปรากฏข่าวใดในทางเสียหาย

เช่น ไปเบ่ง ไปทำตัวเหลวแหลก จนเป็นเหตุให้จะต้องมาตามล่าตัว

 

สําหรับข้อสงสัยว่าลูกสาวทั้งสองของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำไมเงียบมาก ไม่ออกงานร่วมกับบิดา-มารดา ไม่เล่นโซเชียลมีเดียนั้น การเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ถือเป็นสิทธิส่วนตัว

และอันที่จริงเด็กสาวทั้งสองคนก็ทำตัวถูกแล้ว เพราะขืนออกงาน ทำตัวเด่นดังในสังคมจนเป็นข่าวรายวัน ก็จะตกเป็นเป้านินทา หาว่าใช้อภิสิทธิ์ของพ่อไปทำโน่นทำนี่ ดังที่เธอทั้งสองได้ชี้แจงเอาไว้แล้ว

การที่เด็กสาวทั้งสองทำตัวเงียบๆ ก็น่าจะเป็นเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี ในการทำตัวให้เหมาะสม ด้วยเหตุนั้นจะเห็นได้ว่าตลอดมาทั้งลูกสาวและภริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จึง (ยัง) ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกี่ยวกับข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างหน้าบ้านกับหลังบ้าน

การที่ลูกแฝดของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เล่นโซเชียลมีเดีย ก็อาจเป็นเพราะรู้จักคิด อีกอย่างหนึ่งก็คงเป็นคนไม่ชอบอวดอะไร มีความสุขในตัวเอง ไม่ต้องไปแสวงหาการยอมรับจากใคร ไม่ทำตามกระแสส่วนใหญ่ของคนทุกวันนี้ ที่เอะอะก็โพสต์ โกรธก็โพสต์ อยากด่าใครก็โพสต์ อยากอวดก็โพสต์ บ่อยครั้งก็ขาดสติและความยับยั้งชั่งใจ จนสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองมานักต่อนักแล้ว

คนฉลาด รู้จักคิด ทำตัวเรียบง่าย ชีวิตจะไม่เดือดร้อน เพราะไม่ไปทำตัวเรี่ยราด ไร้สาระ บนโซเชียลมีเดีย

 

อีกกรณีหนึ่งที่สะท้อนว่า การคลั่งประชาธิปไตยทำให้คนเราเสียสติสัมปชัญญะ ก็คือมีครอบครัวหนึ่งถ่ายรูปลูกตัวเองซึ่งเรียนแค่อนุบาล 2 ยืนชู 3 นิ้ว แล้วนำมาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ จากนั้นก็มีผู้นำไปแชร์ต่อๆ กันไป ในทำนองว่าแม้แต่เด็กอนุบาลยังชู 3 นิ้วต่อต้านเผด็จการ

พวกที่นำไปแชร์ คงคิดในมุมเดียวว่าภาพนี้จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเองคือแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เด็กอนุบาลยังต่อต้านประยุทธ์ ซึ่งที่น่าเศร้าก็คือพวกที่นำไปแชร์เป็นพวกที่ (ละเมอ) เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย โดยหนึ่งในนั้นเป็นถึงสมาชิกพรรคคนรุ่นใหม่ ที่โยงใยอยู่กับม็อบในขณะนี้

แต่พ่อ-แม่และผู้ที่นำไปแชร์ ลืมคิดหรืออาจจะไม่รู้ว่า การนำเด็กตัวแค่นั้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเป็นเรื่องเลวร้ายมาก และทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการดูแลพิทักษ์สิทธิของเด็กด้วย

หลังจากมีภาพแพร่ออกมา คุณครูรวมทั้งสหวิชาชีพได้เดินทางไปบ้านของเด็กคนดังกล่าว แต่พวกคลั่งและมืดบอดในประชาธิปไตย ก็สามารถแพร่ข่าวบิดเบือนได้อีกว่า เผด็จการกลัวแม้แต่เด็กที่ชู 3 นิ้ว จึงส่งคนไปคุกคาม แต่คนพวกนี้กลับไม่ได้คิดแม้สักน้อยว่าอันที่จริงตัวเองต่างหากกำลังละเมิดคุกคามเด็ก

แม้แต่หลังจากมีการชี้แจงไปแล้วว่า เหตุที่ครูและสหวิชาชีพไปเยือนบ้านเด็กคนนั้น ก็เพื่อแจ้งให้ผู้ปกครองทราบว่า เด็กมีพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเด็กอยู่ ขอให้ผู้ปกครองปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าละเมิดเด็ก แต่พวกคลั่งประชาธิปไตยก็ยังไม่วายแถไปอีกเรื่อยๆ

นี่คืออาการของพวกที่เรียกตัวเองว่าหัวก้าวหน้าและรักประชาธิปไตย จึงมีคำถามว่านี่หรือคุณภาพของคนรุ่นใหม่ที่จะมาดูแลประเทศ

แค่เรื่องพื้นฐานยังไม่รู้อะไรเลย แล้วจะไปเย้วๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ อย่างแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งที่การปฏิบัติตามกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญเช่นการคุ้มครองเด็ก ไม่เอาเขาไปเป็นเครื่องมือการเมืองยังทำไม่ได้เลย