อนุสรณ์ ติปยานนท์ : กลางป่าอึมครึม

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (48)
ป่าน้ำผึ้ง (13)
สิ้นสวาท

“สิ้นสวาทกันเสียที

รักไม่มีเหมือนดั่งเคย

อย่ากลับหวนชวนชื่นเชย

ฉันกลัวแล้วเอย

เพราะเคยช้ำอกตรม

สิ้นสวาทกันเสียที

รักไม่มีเหมือนดั่งเคย

อย่ากลับหวนชวนชื่นเชย

ฉันกลัวแล้วเอย

เพราะเคยช้ำอกตรม”

เพลง “สิ้นสวาท” ประพันธ์โดย ร้อยแก้ว รักไทย

 

“ฝูงผึ้งรุมล้อมพวกเราจนราวกับเป็นเมฆหมอกสีดำ นายขบวนถึงกับเสียขวัญ พวกคนในขบวนจ้องมองผมเป็นตาเดียวกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาคิดว่าผมเป็นต้นเหตุของภัยคุกคามครั้งนี้ หากไม่มีผมก็คงไม่มีอุปสรรคดังกล่าว ผมเองก็จนใจที่จะทำสิ่งอื่นใด แม้ว่าจะเคยชินกับชีวิตในป่าเขา แต่การเผชิญกับฝูงผึ้งที่พัวพันไม่เลิกราเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยประสบมาก่อนเลย”

“ในที่สุดขบวนของเราต้องยุติลงที่ราวป่า ไม่มีทางใดที่จะเดินทางต่อได้เลย ฝูงผึ้งดูท่าจะไม่ยอมรามือกับพวกเรา อีกทั้งหากผมสังเกตไม่ผิดมันมีการหนุนเนื่องมาไม่ขาดสาย นายขบวนสั่งให้ทุกคนช่วยกันก่อกองไฟเพื่อไล่ผึ้งเหล่านั้น มีเรื่องน่าแปลกอยู่เพียงอย่างเดียวคือแม้ฝูงผึ้งจะมีจำนวนมหาศาล ทว่าพวกมันกลับไม่ทำร้ายพวกเราเลย ดูเหมือนจุดประสงค์ของมันคือการกางกั้นไม่ให้พวกเราออกจากป่าเท่านั้นเอง”

“การต้องหยุดยั้งลงเช่นนั้นทำความหวาดหวั่นให้ผมเป็นอย่างมาก สิ่งที่ผมกลัวและเกรงเป็นอย่างยิ่งในยามนั้นไม่ใช่ฝูงผึ้ง หากแต่เป็นแสงฉานต่างหากเล่า หากเธอออกเดินตามขบวนเรามานับแต่รู้ตัว ไม่นานเธอคงตามมาถึงเป็นแน่ และหากเธอตามมาถึงแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี การเผชิญหน้ากับเธอพร้อมทั้งบอกความต้องการส่วนตนของผมออกไปย่อมทำให้เธอโกรธเคืองอย่างยิ่งเป็นแน่ และผมรู้ดีว่าความโกรธเคืองครั้งนี้ย่อมไม่ได้รับการให้อภัยจากเธอเป็นแน่”

“ความกังวลใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความมืดก็คืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ดูจากแสงแดดที่อ่อนแรงลง ดวงอาทิตย์คงลับไปในไม่ช้านี้ นายขบวนตัดสินใจประกอบพิธีกรรมบางอย่าง เขาจุดธูปขึ้นหนึ่งดอก นั่งลงประนมมือไปทางทิศตะวันออกก่อนจะท่องบทสวดบางประการที่ผมไม่เข้าใจ ราวครึ่งชั่วโมง ฝูงผึ้งก็หายมลายไปพร้อมกับแสงสว่าง ผมไม่แน่ใจว่าฝูงผึ้งเหล่านั้นหายไปเพราะมนต์คาถาของนายขบวนหรือเพราะว่ามันได้สิ้นแสงสุรีย์ไปแล้วอย่างสิ้นเชิงกันแน่ สิ่งที่ผมแน่ใจคือในขณะที่เรากำลังจะเคลื่อนขบวนออกเดินทางนั่นเอง ใครคนหนึ่งกำลังเดินออกจากความมืดในราวป่ามาหาพวกเราอย่างช้าๆ”

“เป็นแสงฉานนั่นเอง”

 

หลวงบุเรศรฯ ถอนหายใจขนาดใหญ่จนมิตรสหายวัยหนุ่มของเขาอดสงสารในความเหนื่อยล้าของเขาเสียไม่ได้ เป็นเวลาทั้งคืนที่หลวงบุเรศรฯ จมอยู่กับเรื่องเล่าของเขา สำหรับคนวัยขนาดหลวงบุเรศรฯ การขุดความทรงจำปริมาณมหาศาลเช่นนี้ออกมาถ่ายทอดดูเป็นสิ่งที่เกินกำลังเขาเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น มิตรผู้อาวุโสของเขาได้แก่ชราลงอย่างมากทีเดียว

“คุณพี่จะพักผ่อนก่อนไหมครับ นี่ก็แจ้งมากแล้ว ถ้าเราจะออกไปทำการสำรวจอะไรอีกก็ดูจะเกินแรงไป หรือคุณพี่อยากให้ผมเตรียมเรื่องกับข้าวกับปลาหรือหุงหาอาหารดี?”

ชายผู้มีนามว่าหลวงบุเรศรฯ ยิ้มให้มิตรหนุ่ม ก่อนจะสั่นศีรษะเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ วันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์อยู่แล้ว กรุณาให้ผมเล่าให้จบในคราเดียวเถิด อย่าให้ผมต้องแบกรับเรื่องราวนี้ต่อไปเลย”

ชายหนุ่มโค้มศีรษะยอมรับ ก่อนจะรินน้ำชาที่เหลือในกาลงในแก้วของหลวงบุเรศรฯ และในแก้วของตนเอง น้ำชานั้นเย็นเฉียบด้วยการที่ผ่านค่ำคืนในป่ามาตลอดคืน

 

“ผมหยุดยืนอยู่กับที่ในขณะที่พวกคนในขบวนกำลังเตรียมตัวเดินทาง แม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมเห็นประกายตาของแสงฉานเป็นแสงสว่างโชติช่วง มันลุกโชนด้วยความโกรธ เป็นความโกรธที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างไป แสงฉานเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า คนอื่นถอยร่นห่างไปจากผม เหลือเพียงผมที่เผชิญหน้ากับเธอ เมื่อเข้ามาในระยะใกล้ผมจึงพบว่าเหตุที่ดวงตาของเธอเป็นประกายนั้นเป็นเพราะในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตานั่นเอง น้ำตาของแสงฉานนั่นเองที่ทำให้ทุกอย่างเป็นประกาย”

“พี่จะจากน้องไปจริงๆ ใช่หรือไม่?” แสงฉานเอ่ยกับผม

“เพียงการชั่วคราวเท่านั้นเอง เพียงการชั่วคราว เสร็จธุระแล้วพี่จะกลับมา”

“ในโลกของน้องไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชั่วคราว ถ้าพี่จะจากน้องไป มันก็จะเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ ไม่มีทางที่เราจะได้พบกันอีก”

“ผมขบคิดในใจว่าสิ่งที่แสงฉานพูดอยู่ในยามนั้น เกิดขึ้นจากความโกรธเป็นปฐม เธอกำลังโกรธผมที่จากลาเธอมาโดยไม่บอกกล่าว ผิดวิสัยของผู้ที่เป็นสามีภรรยากัน ผิดวิสัยของผู้ที่ครองเรือนกัน ในความเป็นจริงแล้วหากผมกลับมาที่นี่ กลับมายังป่าแห่งนี้ ผมย่อมหาทางกลับไปยังหมู่บ้านหรือกลับไปยังบ้านเรือนของเราได้ไม่ยากเย็นเลย และถึงแม้แสงฉานจะลุแก่โทสะ หลีกหนีผมไป ผมก็ยังสามารถติดตามหาเธอได้หากผมไม่สิ้นเพียร มันอาจมีความยากลำบากอยู่บ้าง แต่หากผมตั้งใจจะตามหาเธอแล้ว ผมย่อมเจอเธอได้อย่างแน่นอน”

“ดังนั้น การจากกันชั่วนิรันดร์ดังที่เธอว่าจึงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างตามอารมณ์เท่านั้นเอง หาได้มีแก่นสารอะไรให้ยึดถือจริงจังไม่”

 

“ถ้าหากว่าจะมีคำมั่นใดบอกกล่าวให้น้องมั่นใจได้ พี่จะขอบอกน้องว่าพี่จะกลับมา ผมเอ่ยกับแสงฉาน พี่เพียงแต่อยากกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ พี่น้องและคนคุ้นเคย พี่เพียงแค่อยากไปบอกพวกเขาว่าพี่ยังอยู่ดีมีสุขเพียงไร โดยเฉพาะเป็นการอยู่ดีมีสุขกับผู้หญิงที่พี่รักและครองเรือนด้วย”

“แทนการตอบรับคำกล่าวของผม แสงฉานสั่นศีรษะของเธอช้าๆ เสียงพูดของเธอนับจากนั้นสั่นเครือ พี่ไม่เข้าใจ ถ้าพี่พ้นออกจากป่านี้ไป อย่าว่าแต่จะได้พบกับน้องอีก แม้แต่การมีอยู่ของชีวิตคู่ของเราก็พังทลายลงตามด้วย”

“ผมสะดุดใจกับคำกล่าวนั้น แสงฉานพูดเช่นนั้นด้วยความหมายอะไร นี่เธอตั้งใจจะทิ้งผมไปจริงๆ กระนั้นหรือ เธอมีที่หมายอื่นหรือเธอตัดใจจากผมเพียงแค่การออกจากป่านี้ไป”

“อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงในดวงจิตของผมยามนั้นแรงกล้าเสียจนไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ผมบอกกับแสงฉานว่าผมเข้าใจความทุกข์ใจของคู่รักที่ต้องห่างกัน แต่ขอให้เชื่อในตัวผมว่าผมจะไม่ไปนอกลู่นอกทางอื่นๆ ผมเพียงต้องการไปพบบุพการีของผมเท่านั้น และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าวผมจะรีบกลับมาในทันใด”

“แต่ทว่า ดูเหมือนแสงฉานจะไม่ยินดีกับคำมั่นดังกล่าว เธอพูดกับผมสั้นๆ เพียงว่า หากพี่ตั้งใจแน่วแน่เช่นนั้น น้องก็สุดที่จะทัดทาน น้องขอให้พี่มีความสุขกับโลกเบื้องนอกและชีวิตเบื้องหน้า น้องขอให้พี่จงอย่าลืมสิ่งใดแม้ว่ามันอาจไม่เป็นดังที่น้องขอ แม้พี่จดจำสิ่งใดไม่ได้ ก็ขอให้จำรสหวานในความรักของเราทั้งคู่ จดจำความรักของเราที่มีรสหวานปานน้ำผึ้ง”

“เป็นน้ำผึ้งที่มีรสชาติเฉพาะตัวของเรา”