ขย้ำ “ซีวิค 1.5 เทอร์โบ” แรงเกินตัว-หล่อเกินห้ามใจ

สันติ จิรพรพนิต

จดจ่อและรอคอยมาพักใหญ่ กว่าจะได้สัมผัสตัวเป็นๆ ของ “ฮอนด้า ซีวิค เทอร์โบ” ที่ผมร่ำร้องอยากได้มาขย้ำให้หนำใจ หลังทราบข้อมูลว่ารถรุ่นนี้แม้จะใช้เครื่องเท่าซิตี้คาร์ แต่เพราะติดเทอร์โบ จึงมีพละกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร

ไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะด้วยขนาดตัวถังและน้ำหนักที่ไม่มากนัก เมื่อได้เครื่องแรงขนาดนี้ “ไม่หลังติดเบาะ” ให้มันรู้ไป

“ซีวิค” รุ่นนี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 10 รหัสตัวถัง FC เปิดตัวเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และกลายเป็นรถเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งของงาน “มอเตอร์โชว์” ปีนี้

โดยฮอนด้า ตั้งความหวังกับรถรุ่นนี้ค่อนข้างมาก เนื่องจากทีมออกแบบและวิศวกร “จัดเต็ม” ทั้งความสวยงาม และสมรรถนะ

ยิ่งกับเครื่องยนต์ใหม่คือ “วีเทค เทอร์โบ” ครั้งแรกที่มาทำตลาดในเมืองไทย ทดแทนรุ่นเดิมคือเครื่อง 2.0 ลิตร

จึงยิ่งสร้างความน่าสนใจมากขึ้น

ซีวิค รุ่นล่าสุดนี้พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Creating a way of life”

มี 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ

1. Soulful – เน้นความเต็มที่ของประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ใหม่ และแพลตฟอร์มใหม่ เน้นการขับขี่ที่สนุกได้อารมณ์สปอร์ต ลดเสียงรบกวน

2. Charismatic – การออกแบบภายนอกที่ปราดเปรียว ภายในที่กว้างสบายทั้งหรูหราโดยเน้นความสำคัญของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

และ 3. Comfortable – ใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายและอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ

รุ่นที่ฮอนด้าส่งมาให้ผมทดสอบเป็นรุ่นท็อป (RS) มาพร้อมชุดแต่งเต็มสูบ สีน้ำเงินเข้ม มิดไนท์บลู

354_2247_image

ภาพลักษณ์ภายนอกมองปราดแรกดูเพรียวและสปอร์ตกว่าเจเนอเรชั่นที่แล้วมาก ถึงมากที่สุด

ส่วนหนึ่งเพราะมิติตัวถังดูลงตัวกว่าเดิม มีความยาว 4,630 ม.ม. กว้าง 1,799 ม.ม. สูง 1,416 ม.ม. โดยทั้งความกว้าง-ยาวมากกว่ารุ่นเก่า ขณะที่ความสูงลดลงนิดหน่อย

ด้วยเป็นรุ่นแต่งพิเศษจึงดูหล่อเหลากว่ารุ่นปกติ ใช้กันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าเรียวเล็กแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light มาพร้อมระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อดับเครื่องยนต์

ไฟท้ายแบบ LED เช่นกัน โดยด้านหลังติดตั้งสปอยเลอร์แบบ Wing พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3

ต่ำลงมาเป็นท่อไอเสียแบบคู่แยกอยู่ซ้าย-ขวา แต่มองผ่านๆ อาจไม่เห็นชัดตานัก หากอยากหล่อกว่านี้ไปติดปลายท่อไอเสียสแตนเลสยื่นออกมาเสียหน่อย ก็แหล่มเลย

กระจกมองข้างด้านซ้ายจะแปลกไปจากด้านขวานิดหน่อย เพราะมีปุ่มเล็กๆ ยื่นออกมาคือ “กล้องมองข้าง” จะส่งภาพไปยังจอในรถเมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น อ็อปชั่นนี้ยืมมาจากรุ่นพี่คือ “แอคคอร์ด”

354_2249_image

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลายแปลกตา รัดด้วยยาง บริดจสโตน ทูรันซา อีอาร์ 33 ขนาด 215/50 เพิ่มอารมณ์สปอร์ตมากขึ้น

เปิดประตูเข้าไปด้านในใช้สีเทาแซมด้วยสีเงินบางจุด พวงมาลัย 3 ก้านแบบดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น เดินด้านขาวสลับไขว้ไปมาบริเวณด้านใน

เรือนไมล์ดูแปลกตาแบ่งเป็น 3 ช่อง ตรงกลางเป็นวงกลมบอกรอบเครื่องยนต์แบบเข็ม ตรงกลางเป็นตัวเลขความเร็วแบบดิจิตอล ขยับไปอีกนิดเป็นจอแสดงผลทั้งวิทยุ ระบบเนวิเกเตอร์ และส่งภาพจากกล้องมองข้าง-มองหลัง

คันเกียร์ขนาดกระชับมือแบบ CVT สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ที่ปุ่มหลังพวงมาลัย หรือ “Paddle Shift” ด้วย ใกล้ๆ กันเป็นปุ่มเบรกมือไฟฟ้า และ “Auto Brake Hold” หรือเบรกมืออัตโนมัติ ใช้ยามที่ต้องเจอจราจรติดขัด เดี๋ยวไปเดี๋ยวหยุด ไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้ ลดอาการเมื่อยล้าได้พอสมควร

เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบ Apple CarPlay ใช้ฟังก์ชั่นร่วมกับโทรศัพท์ระบบ iOS ได้เต็มรูปแบบ โดยจะโชว์ภาพจากกล้องมองหลัง และมองข้างด้วย

เบาะหลังค่อนข้างกว้าง นั่งได้ 3 คนสบายๆ

354_2250_image


รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ 1.5 VTEC TURBO แบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จแบบ Single-Scroll พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดมัลติพอยต์ PGM-Fi กำลังสูงสุด 173 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งขยายให้ใหญ่และยาวขึ้นเพื่อความสมบูรณ์ของช่วงล่าง

ความปลอดภัยครบครับทั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า และม่านถุงลมด้านข้าง ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) ช่วยป้องกันการลื่นไถลออกทางด้านข้าง

ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ช่วยได้เยอะเวลาจอดติดทางขึ้นสะพานหรือขึ้นห้าง เพราะรถจะไม่ไหลถอยหลังในจังหวะยกเท้าออกจากแป้นเบรก ช่วยให้การออกตัวมีความนุ่มนวลมากขึ้น

สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) สัญญาณไฟฉุกเฉินจะทำงานเมื่อเบรกกะทันหัน เตือนรถที่แล่นตามหลังให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น

อีกจุดเด่นที่ต้องพูดถึงคือความไฮเทคที่มากับกุญแจรีโมต ซึ่งเหมาะมากกับเมืองไทยที่เป็นเมืองร้อน เพราะรุ่นนี้มีระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ผ่านรีโมตและเปิดแอร์อัตโนมัติ

สำหรับคนที่จอดรถกลางแดดคงชื่นชอบระบบนี้ เพราะเราสามารถสตาร์ตรถยนต์ผ่านรีโมตโดยไม่ต้องเข้าไปผจญความร้อนภายในรถ โดยแอร์จะเปิดอัตโนมัติแม้ตอนที่เราดับเครื่องจะปิดแอร์แล้วก็ตาม

ระบบนี้จะทำงานราว 10 นาที หากไม่ขึ้นไปบนรถ เครื่องยนต์ก็จะดับอัตโนมัติเช่นกัน


ขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังพวงมาลัย ความรู้สึกแรกคือเบาะดูต่ำๆ แม้จะปรับขึ้นสุดก็รู้สึกว่าต่ำกว่าปกติ ไม่น่าแปลกเพราะรถรุ่นนี้ลดความสูงลงนั่นเอง

กดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ เสียงเครื่องดูเร้าใจจาก 2 ท่อที่พ่นออกมา สิ่งแรกที่จะเห็นคือระบบไฟต่างๆ ที่หน้าปัดจะวูบวาบไปมา ดูน่าตื่นเต้นดีโดยเฉพาะตอนกลางคืน

คันเกียร์จับได้เหมาะมือ การเคลื่อนตัวแบบทั่วไปทำได้ลื่นไหล แต่ถ้าอยากได้ความสะใจกดคันเร่งแบบมิดจะเจออาการ

“หลังติดเบาะ”

ช่วงการทดสอบผมเล่นอยู่บ่อยๆ เพราะสนุกและเร้าใจดีเหลือเกิน

อัตราเร่งช่วงต้น-กลาง มาเร็วมากโดยเฉพาะระดับ 130-140 ก.ม./ช.ม. จากนั้นจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไป

ช่วงล่างเซ็ตมาสปอร์ตกว่ารุ่น 1.8 ลิตร แต่ไม่ถึงกับกระเด้ง เรียกว่ากำลังสนุก และสร้างความมั่นใจในยามสาดโค้งหรือกระชากเปลี่ยนเลนเร็วๆ เพราะนอกจากระบบต่างๆ ที่เอื้อแล้ว ตัวรถยังเตี้ยกว่ารุ่นเก่าอีกต่างหาก

ส่วนคนที่ชอบเล่นกับการเชนจ์เกียร์ น่าจะสนุกกับปุ่ม “Paddle Shift” หลังพวงมาลัย ยิ่งตอนก่อนเข้าโค้ง และทำความเร็วออกจากโค้งกระดิกนิ้วทีเดียวแรงส่งมาให้แบบเหลือเฟือ

ระบบเบรกหายห่วงเพราะได้ดิสก์มาถึง 4 ล้อ เอาอยู่ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมาทางตรงหรือขณะเข้าโค้ง

ซีวิค 1.5 เทอร์โบ ถือว่าเป็นรถนอกจากหน้าตาดีแล้ว ยังขับสนุกมากๆ โดยเฉพาะรุ่น “RS”

สนนราคารุ่น VTEC TURBO 1,099,000 บาท ส่วนรุ่น VTEC TURBO RS 1,199,000 บาท