ผ่าคดี | เปิดคำสารภาพบรรยิน อุ้ม-ฆ่าเผาพี่ผู้พิพากษา หวังบิดคดีหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ศาลนัดสืบพยานใหม่

ถือเป็นคดีใหญ่สะท้านวงการยุติธรรมอันดับต้นๆ เลยทีเดียว

สำหรับกรณีที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีคนดัง ผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าเสี่ยชูวงษ์ แซ่ตั๊ง และผู้ต้องหาคดียักยอกหุ้น เหิมเกริมถึงขั้นบุกอุ้มพี่ชายผู้พิพากษา

เพียงเพื่อจะต่อรองให้ผู้พิพากษาตัดสินยกฟ้องในคดีโอนหุ้น

สุดท้ายตกลงเจรจากันไม่ได้ นำไปสู่การสังหารโหดแล้วนำศพไปเผานั่งยาง ทิ้งหลักฐานลงแม่น้ำ

ก่อนทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หวังลอยนวลพ้นความผิด จนกระทั่งตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานบุกจับกุมได้ยกแก๊ง

เมื่อส่งฟ้องศาลก็ให้การปฏิเสธ พร้อมสู้คดี แถมระหว่างนั้นยังมีข่าวดังว่าพยายามจะแหกคุกหนีคดี

สุดท้ายก็กลับคำให้การเป็นรับสารภาพว่าวางแผนและพาพวกลงมือเอง

พร้อมเล่านาทีอำมหิตทุกขั้นตอน จุดประสงค์ต้องการต่อรองคดี

ขั้นต่อไปคือการพิจารณาของศาล ว่าจะมีบทสรุปอย่างไร

บรรยินรับอุ้มฆ่าพี่ผู้พิพากษา

สําหรับการกลับคำมาเป็นรับสารภาพของ พ.ต.ท.บรรยิน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดสืบพยานคดีอุ้มฆ่านายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายผู้พิพากษา ซึ่งมีจำเลยประกอบด้วย พ.ต.ท.บรรยิน อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี และ ด.ต.ธงชัย วจีสัจจะ หรือ ส.จ.อ๊อด อายุ 63 ปี เป็นจำเลยที่ 1-6

สำหรับคดีนี้ อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหกเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 จำเลยที่ 2-6 ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สำหรับนายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 แถลงให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยทนายความจำเลยที่ 3 ขอยื่นคำให้การในวันนัดตรวจหลักฐาน ส่วน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ขณะนี้ถูกแยกไปขังยังเรือนจำกลางบางขวาง หลังมีข่าววางแผนเพื่อหลบหนีออกจากเรือนจำและจับตัวประกัน

ซึ่งการนัดครั้งนี้เพื่อตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดพิจารณา

โดยจำเลยที่ 1, 2, 4, 5 ยื่นคำให้การใหม่ พ.ต.ท.บรรยินยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เป็นให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุในคดีนี้จริง โดยร่วมกับนายณรงค์ศักดิ์จัดเตรียมอุปกรณ์ เช่น น้ำมัน ยางรถยนต์ สังกะสี อิฐบล๊อก เพื่อนำไปใช้เผาทำลายศพนายวีรชัย โดยนำอุปกรณ์ดังกล่าวไปไว้ยังจุดเกิดเหตุที่เผาศพนายวีรชัยที่บริเวณเขาใบไม้ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563

พร้อมให้การถึงรายละเอียดว่า เตรียมการจับตัวนายวีรชัยมาเพื่อบังคับขู่เข็ญและต่อรองคดีกับ น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาในคดีโอนหุ้น 300 ล้านบาทที่กำลังจะตัดสิน

ตั้งใจจะนำตัวนายวีรชัยไปกักขังไว้ที่บ้านพักที่ใช้สำหรับหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ตาคลี และตั้งใจว่าหาก น.ส.พนิดาไม่ตกลงยินยอม ก็พร้อมจะฆ่าและทำลายศพตามที่ได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ก่อนหน้านี้

จากนั้นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 พ.ต.ท.บรรยินแต่งชุดตำรวจไปดักรอนายวีรชัยที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ แล้วล็อกตัวนายวีรชัยจากหน้าศาลขึ้นรถโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ เพื่อนำตัวไปยัง จ.นครสวรรค์ ระหว่างทางนายวีรชัยดิ้นรนขัดขืนการควบคุมตัว นายณรงค์ศักดิ์ที่นั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับ พ.ต.ท.บรรยิน จึงหันไปต่อยนายวีรชัยให้หยุดการดิ้นรน แต่เป็นเหตุให้นายวีรชัยถึงแก่ความตาย

สังหารตั้งแต่ยังไม่เจรจา!!

อ้างศาลทำหน้าที่ลำเอียง

จากนั้น น.ส.พนิดาโทรศัพท์มายังมือถือของนายวีรชัยรวม 3 ครั้ง มีนายณรงค์ศักดิ์เป็นคนพูดคุย โดย น.ส.พนิดายอมทำตามที่ถูกข่มขู่ แต่ขอคุยกับพี่ชายก่อน เมื่อนำโทรศัพท์มาให้นายวีรชัย พบว่านายวีรชัยเสียชีวิตแล้ว จึงไม่สามารถพูดสายได้ ทำให้การเจรจาไม่เป็นผล

พ.ต.ท.บรรยินและพวกจึงปิดโทรศัพท์ และนำศพนายวีรชัยไปเผาเพื่อทำลายที่บริเวณเขาใบไม้ อ.ตาคลี ก่อนขับรถนำเถ้ากระดูก สังกะสี เศษยางรถยนต์ อิฐบล๊อกไปทิ้งตามจุดต่างๆ คือริมถนนข้างทางใกล้หมู่บ้านนิคมเขาบ่อแก้ว บริเวณใกล้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา หมู่บ้านกลางแดด อ.เมือง จ.นครสวรรค์ จริง

ส่วนนายณรงค์ศักดิ์เป็นผู้นำโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ของนายวีรชัย และแผ่นป้ายทะเบียนรถไปทิ้งที่แม่น้ำปิงผู้เดียว

นอกจากนี้ พ.ต.ท.บรรยินยังระบุว่า ไม่มีเจตนาจะก่อเหตุดังกล่าวเพื่อกระทบกระทั่งต่อองค์กรศาล หรือก้าวล่วง หรือดูหมิ่นเหยียดหยามองค์กรศาล แต่เป็นเรื่องเฉพาะตัว ด้วยเห็นว่า น.ส.พนิดา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีอาญาของศาลอาญากรุงเทพใต้ทำหน้าที่อย่างลำเอียง ขาดความเที่ยงธรรม และมีอคติกับตนในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวโดยตลอด ทำให้เกิดความกดดันและขาดสติยั้งคิดจึงได้กระทำความผิดในคดีนี้

นอกจากนี้ ผู้ต้องหาที่เหลือก็เปลี่ยนคำให้การจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพเช่นกัน

ที่น่าสนใจก็คือ นายมานัส จำเลยที่ 2 ที่ให้การว่าร่วมขบวนการดังกล่าวด้วยการเป็นคนขับรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ รับส่ง พ.ต.ท.บรรยินและพวก รวมทั้งเป็นคนไปเฝ้าติดตามนายวีรชัยและ น.ส.พนิดาที่หน้าศาล และเป็นผู้ขับรถนำขบวนดูลาดเลาตามแยกต่างๆ มุ่งหน้าไป อ.ตาคลี ก่อนขับรถสปอร์ตไรเดอร์ที่อุ้มผู้เสียหายไปจอดเก็บ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการเผาและทำลายหลักฐาน

จากการเปลี่ยนคำให้การดังกล่าวทำให้ศาลยกเลิกวันนัดสืบพยานหลักฐานตามที่กำหนดไว้เดิม และกำหนดวันนัดสืบพยานหลักฐานใหม่ นัดสืบพยานโจทก์ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2563 และสืบพยานจำเลยวันที่ 26 และ 29 ตุลาคม 2563

ก่อนจะพิพากษาต่อไป

เปิดชนวนสังหารเสี่ยชูวงษ์

สําหรับชนวนเหตุจากคดีนี้ เริ่มต้นมาจากการที่ พ.ต.ท.บรรยินเข้ามามีส่วนพัวพันกับการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง กรรมการผู้จัดการบริษัท แสตนดาร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ จำกัด เสี่ยรับเหมาพันล้าน โดยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 นายบรรยินขับรถเลกซัส ทะเบียน 1889 กทม. ของนายชูวงษ์ โดยมีนายชูวงษ์นั่งมาด้วย พุ่งชนต้นไม้ที่ฝั่งตรงข้ามซอย 61 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงและเขตสวนหลวง กทม.

โดยนายชูวงษ์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ตรงเบาะข้างคนขับในสภาพหัวมุดเข้าไปในคอนโซล แต่ พ.ต.ท.บรรยินไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

เบื้องต้นคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เมื่อญาติผู้ตายยื่นเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเพราะเชื่อว่าเป็นฆาตกรรมอำพราง เพราะผลชันสูตรของนิติเวชพบว่ามีอาการสมองบวม ซี่โครงหักหลายซี่ ไม่ใช่คอหักตายเหมือนที่โรงพยาบาลระบุ

อีกทั้งมีประเด็นว่าก่อนตายมีการโอนหุ้นแบบผิดปกติให้กับ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล พริตตี้สาว และ น.ส.ศรีธรา พรหมา แม่ของ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล อายุ 26 ปี มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

ขณะที่ พ.ต.ท.บรรยินระบุว่า วันเกิดเหตุไปตีกอล์ฟร่วมกับเพื่อนที่เรียนวิทยาลัยตลาดทุน ขากลับนายชูวงษ์เมามาก เลยขับรถมาส่ง ยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุ ส่วนที่โอนหุ้นให้ น.ส.กัญฐณา ก็เพราะมีลูกด้วยกัน จึงโอนหุ้นให้ด้วยเสน่หา ส่วน น.ส.อุรชา ก็เพราะเป็นแฟนสาวอีกคน

ต่อมาครอบครัวนายชูวงษ์ยื่นฟ้องคดีฆาตกรรมซึ่งอยู่ในการพิจารณาของศาลพระโขนง ขณะที่มีหลักฐานชัดเจนเมื่อไล่กล้องวงจรปิด พบว่ามีช่วงเวลาที่หายไปตั้งแต่ออกจากสนามกอล์ฟ ไปจนถึงที่เกิดเหตุประมาณ 1 ชั่วโมง

เป็นช่วงเวลาก่อเหตุฆาตกรรม

ขณะที่คดีโอนหุ้นอยู่ในความรับผิดชอบของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่กำลังจะนัดอ่านคำพิพากษาก่อนเกิดเหตุอุกอาจ

ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงมิถุนายนที่ผ่านมา มีรายงานระบุว่า พ.ต.ท.บรรยินวางแผนจะแหกคุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขนาดวางแผนจะอุ้มภรรยา ผบ.เรือนจำ เพื่อข่มขู่ ไม่เช่นนั้นจะมีการชิงตัวขณะไปศาล และเตรียมแผนใช้เฮลิคอปเตอร์ วางระเบิด และสร้างความปั่นป่วนในเรือนจำ

ใช้วิธีให้ลูกน้องที่เจอกันในเรือนจำที่ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนไปขอความช่วยเหลือจากอดีต ส.ส.นครสวรรค์คนสนิท

นำมาซึ่งการย้ายตัวด่วนไปอยู่เรือนจำบางขวาง ขณะผู้ที่ถูกพาดพิงปฏิเสธพัลวัน

ในชีวิตที่โชกโชน วันนี้มาสารภาพคดีอุ้มฆ่า

ก็ต้องดูว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร