การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ จานข้าวยังตั้งซ้อนเมื่อนอนคู่

แม้ยังอยู่ห้องเช่าเก่าคับแคบ

พลันเหมือนแวบวับฟ้ามาเสกสรรค์

จ้องฉันจ้องใบหน้ามีฝ้ากรัน

พลางตาฉันเห็นความชั่วตัวฉันเอง…

 

ย่างไปบนทางเท้าลุเข้าเที่ยง

หูยินเสียงตะโกนอยู่โฉงเฉง

ทัพพีเคาะกระทะประดุจเพลง

กล่อมบรรเลงตลาดกาดจอแจ

 

เดินทะลุสะพานผ่านถนน

แลผู้คนหนุ่มสาวเด็กเฒ่าแก่

บ้างยืนรอเหยาะเยื้องชำเลืองแล

บ้างยักแย่เอิ้นต่อสี่ล้อแดง

 

จากร้านหนึ่งถึงหลายร้านที่ผ่านพบ

บางร้านสบตาแรกก็แปลกแปร่ง

บางร้านรีบหนีหน้าว่าระแวง

บางร้านแสร้งรีบปัดไย่ใยแมงมุม

 

บางร้านเดินหันหลังอย่างเร็วรี่

บางร้านชี้ไปยังหลังคากลุ่ม

บางร้านบอกรายได้ยังไม่คุ้ม

บางร้านบอกกำลังกลุ้มอย่ากวนใจ

 

บางร้านมีลูกจ้างนั่งข้างหน้า

หากแววตาล้าจนร่วมหม่นไหม้

บางร้านมีอาม่าด่าเป็นไฟ

บางร้านไล่ลูกน้องจ้องตาชัง

 

บางร้านมีคนเบียดอยู่เสียดยัด

บางร้านจัดย้ายอยู่โต๊ะตู้ตั่ง

แต่กี่ร้านผ่านไปไม่รู้ครั้ง

ไม่ได้นั่งสักร้านเพียงผ่านลา

 

ทรุดลงนั่งขอบถนนก้นแตะพื้น

เหงื่อออกชื้นขมับฝุ่นจับหน้า

ยกมือเช็ดคราบไคลไหลเกาะตา

พลางรู้ว่าความยากเข็ญเป็นอย่างนี้

 

มีร่างกายอยู่ครบสามสิบสอง

แต่เงินทองขาดด้วนจวนเป็นหนี้

หรืออาจจะติดลบแล้วบางที

ทุกวันที่อยู่กินอย่างดิ้นรน

 

จะบากหน้าพึ่งใครในโลกเล่า

เมื่อตัวเราเซซัดแสนขัดสน

แม้มีความช่วยเหลือเมื่ออับจน

แต่จะพ้นอย่างไรในนานยาว

 

กูก็เหมือนมดแมงแมลงทาก

คลานอยู่ตามพื้นสากระอุผ่าว

หวังจะบินขึ้นฟ้าจะสอยดาว

ก็หล่นร้าวอย่างนี้ทุกวี่วัน

 

จะกลับบ้านก็ไม่มีให้กลับ

แค่ขยับยังยากแม้บากบั่น

มองตีนตัวกลั้วฝุ่นดินขุ่นคัน

พลางฉับพลันอัดอกสะทกไป

 

“เป็นยังไงบ้างพี่วันนี้หือ?

มีโชคหรือได้งานอยู่ร้านใหญ่?”

เสียงแว่วหวานขานปากจากห้องใน

จะย่างเท้าก้าวให้ต้องชะงัก

 

“ยังไม่มีที่ไหนให้โชคฉัน

เดินเสาะหาทั้งวันขาแทบหัก

เลยต้องเดินกลับมา…จะขอพัก

กับเธอสักอีกวันฉันจำเป็น”

 

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ที่นี่ว่าง

เพียงทุกอย่างอย่างนี้เท่าที่เห็น

ไม่ใช่บ้านหลังโตโอ่อ่าเย็น

แต่ย่อมเป็นเรือนให้พักได้เลย”

 

คำพูดเพื่อนเหมือนน้ำฉ่ำถึงอก

แม้สะทกใจอยู่ไม่รู้เอ่ย

จึงเพียงเข้าสวมกอดแขนสอดเกย

เพื่อนก็เงยหน้ามองจ้องแล้วยิ้ม

 

“ลองสิพี่มีไข่ปลาในห่อ”

แก้วน้ำรอพร้อมข้าวขาวเม็ดอิ่ม

“แอ็บไข่ปลาอยากให้เธอได้ชิม”

พูดพลางจิ้มแตงกวามาใส่จาน

 

“แล้วนี่เขาเรียกว่าหมูสะเต๊ะ

นุ่มไม่เละเพราะเขาปิ้งเตาถ่าน

พริกกับแตงกินคู่อยู่นมนาน

อาจาดหวานปนเปรี้ยวลองเคี้ยวซี”

 

“ขอบคุณมากนะหวาน…ฉันขอบคุณ”

“เอ้า! แกงจืดอุ่นอุ่นเติมอีกซี่

ตำลึงต้มหมูสับสำรับนี้

อยากให้พี่ชิมมันฉันทำนะ”

 

พูดพลางตักแกงเติมเพิ่มข้าวให้

ปรนนิบัติจัดไปไม่ทิ้งผละ

มือเคยกร้านแห้งดำกลับชำระ

เสกอาหารโอชะพรั่งประเคน

 

จ้องมองเพื่อนเหมือนว่ามาผิดโลก

ใช่ลับลอยรอยโศกวิโยคเข็ญ

แต่บัดนี้เหลืองฟางเคยว้างเย็น

ก็แปรเป็นเตียงทองรองหลังฉัน

 

โชคชะตาต่างพาเราเข้าเมืองใหม่

แต่บุญหรือกรรมใดชักใยนั่น

ชั่วขณะมาพบบรรจบกัน

สรวงสวรรค์พลันให้บันไดมา

 

เพื่อปีนไต่ไปถึงหนึ่งดาวดวง

หยดแสงร่วงจากบนจนตาพร่า

มือลูบผมรั้งจมทรวงพวงมาลา

จนตูมยอดดอกไม้ป่าคลี่ขยาย

 

พื้นกระด้างร่างดิ้นดมกลิ่นดอก

ฉ่ำกระฉอกน้ำหวานบานกลีบส่าย

แตะใจกลางเกสรก็ร่อนราย

กระซิบเสียงสุดท้ายไม่ไหวแล้ว

 

จานข้าวยังตั้งซ้อนเมื่อนอนคู่

พัวพันอยู่กระทั่งสิ้นครางแผ่ว

จนกระทั่งบางไหวในตาแวว

บอกฉัน “เธอรักฉันแล้ว…ดีใจจัง”