คำ ผกา | ฉลาดหรือโง่

คำ ผกา

กลั้นใจดูโฆษณาที่เป็นที่โจษจันได้จนจบ และไม่มีอะไรผิดความคาดหมาย หนังโฆษณาเรื่องนี้ต้องการจะบอกว่า “เงินทองคือของมายา ข้าวปลาคือของจริง”

ความรู้ทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สิ่งที่นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ นักวิจารณ์สังคม แสดงความกังวลห่วงใยเรื่องภาวะเงินเฟ้อ โรคระบาด เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก การเมืองห่วงนายกฯ สมองแปดหมื่นสี่พันเซลล์ เป็นเพียง “วาทกรรม”

คนเหล่านั้นมีหน้าที่พ่นคำพูดยากๆ วิพากษ์วิจารณ์สังคมเป็นสัมมาอาชีวะ

แท้จริงแล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแก่นสารของชีวิตที่ “แท้” เพียงแต่คุณจะหามันเจอ

ว่าแล้วเขาก็ (คิดว่า) เขาจะตบหน้าพวกพูดมากทั้งหลายเหล่านั้นผ่านชีวิตของพี่หยัด ชายชนบทที่เข้ามาขายแรงงานในเมืองแลกกับค่าแรงน้อยนิด กับวิถีชีวิตบริโภคนิยมแสดงผ่านการมีโทรทัศน์ วิทยุ สเตอริโอ (ถึงฉากนี้ฉันต้องขยี้ตาว่า เล่นกันอย่างนี้เลยนะ)

พี่หยัดมีลูกชายหนึ่งคน ไม่มีเมีย ทิ้งช่องว่างให้คนดูจินตนาการเองว่า เมียพี่หยัดหายไปไหน คนที่มีประสบการณ์ฟังเพลงลูกทุ่งมาประมาณหนึ่ง จะนึกภาพได้ประมาณว่า เมียพี่หยัดก็น่าจะเป็นผู้หญิงชนชั้นเดียวกับพี่หยัดจากชนบท มาแสวงหาโอกาสในเมือง มีผัวเป็นยาม มีลูก แล้วก็ทิ้งลูกทิ้งผัวไปเป็นสาวเชียร์เบียร์ หรือทำงานอยู่ในร้านคาราโอเกะ นวดกระปู๋ อะไรสักแห่งในกรุงเทพฯ

เผชิญชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ต่อไปเพราะไม่รู้จักพอเพียง และอยากมีชีวิตซู่ซ่า หวือหวา อันเป็นความเขลาของหญิงสาวชนบทตามมาตรฐาน

ชะตากรรมของพี่หยัดก็เช่นเดียวกับแรงงานระดับล่างในเมืองทั่วไปคือ เงินเดือนน้อย รายจ่ายเยอะ สุดท้ายเป็นหนี้นอกระบบ มีเจ้าหนี้มาทวงหนี้อย่างโหดร้าย (เดชะบุญ ครีเอทีฟไม่ใส่ฉากพี่หยัดกินเหล้า เล่นหวย เล่นมวยไปด้วย)

จนมาถึงวันที่ถูกเลย์ออฟ พี่หยัดหอบลูกกลับบ้านนอก เอาจอบขุดดิน

แล้วก็ โอว มายก๊อด จอร์จ มันยอดมาก อยู่ๆ ที่ดินก็เขียวสะพรั่ง พรึ่บๆๆ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว แผ่นดินของเราช่างอุดมสมบูรณ์ เอาจอบเอาเสียมแตะไปตรงไหนก็งอกงาม เป็นข้าวปลาอาหาร

โธ่ ไอ้หยัด มึงไม่น่าโง่เลย มึงทิ้งบ้านเกิดไปกรุงเทพฯ ทำไม ดูสิบ้านนอกของเรา ขั่นทรี้โรดด เทกมีโฮมมากๆ เลย ไอ้หยัดมันหายโง่แล้วเว้ยยย สิ่งที่สำคัญในชีวิตไม่ใช่เงินทอง แต่คือ แผ่นดิน ผืนน้ำ เมล็ดข้าว พระแม่โพสพ ปลาในห้วยหนองคลองบึง รอยยิ้มของลูก แล้วเนี่ย ถ้ามึงไม่ไปมัวเมาหาเงินอยู่กรุงเทพฯ มึงคงได้อยู่ดูแลพ่อ-แม่มึงในวันที่เจ็บป่วยและลาจากโลกนี้ไป เอาน่า ตบบ่าไอ้หยัด กูดีใจกับมึงด้วยที่มึงคิดได้

ส่วนไอ้อีที่ดูโฆษณานี้อยู่ พวกมึงจง “พินา” ตัวเองว่า ขนาดไอ้หยัดมันยังคิดได้ พวกมึงก็ควรจะคิดได้ มัวแต่รำพันพิลาป ก่นด่ารัฐบาล ท่องสถิติคนตกงาน พูดเรื่องความเหลื่อมล้ำวนไปวนมา หัดดูคนอย่างไอ้หยัด พี่ยักษ์ พี่โจน จันไดนะมึง คนพวกนี้เขามีดิน มีน้ำ มีข้าว มีปลา มีเวลาให้ลูก มีรอยยิ้ม มีความรัก

ความสุขเกิดขึ้นง่ายๆ เลย ถ้าพวกมึงไม่ทะเยอทะยาน ไม่โลภ ไม่อยากได้อยากมีเหมือนอย่างใครเขา ไป ไป๊ กลับบ้านนอก กลับไปทำนา ไอ้ควาย!

นี่คือ “สาร” ที่ฉันได้จากการดูโฆษณาเรื่องนี้

เอาละ ผู้ที่เขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

ฉันจะบอกอะไรให้นะว่า ถ้าคุณกำลังทำหนังเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัทลูกค้า สิ่งแรกที่พึงรู้คือ ถ้าเราอยู่ในประเทศที่ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบนะ เอาแค่ ระบบประกันตน, ประกันสังคม และระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศเราสามารถดำเนินการไปอย่างไร้รอยสะดุด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกค้าของตัวเองคงหายไปมากกว่าครึ่ง

ถ้าระบบสาธารณสุขของเราดี โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคของเราเข้มแข็งปราศจากหนอนบ่อนไส้ พยายามทำลายหลังพิงอันนี้ของประชาชน ถามหน่อยว่า ใครที่ไหนจะไปซื้อธุรกิจบริการลูกค้าของคุณ ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า universal helthcare หรือประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น กระทบธุรกิจลูกค้าคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้

ถ้าระบบประกันตน ประกันสังคมของเราปราศจากหนอนบ่อนไส้ที่มาในนามของรัฐบาลเผด็จการ แรงงานทุกคนในประเทศนี้จะมีหลักประกันของรายได้หลังเกษียณในรูปของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งการลงทุนเพื่อวัยเกษียณจากเอกชน

ดังนั้น การทำหนังแบบนี้ออกมาจึงส่อถึงการอยากแช่แข็งการเมืองเลวๆ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเอาไว้

เลวร้ายกว่านั้นคือ นอกจากจะไม่เห็น “คนจน” เป็น “คน” เท่ากับตัวเองแล้ว ยังแสร้งทำเป็นยกย่อง เชิดชูคนจนว่าคือผู้รู้แจ้ง คือผู้รู้เท่าทัน คือผู้ไม่ยึดติดกับมายาภาพแห่งความมั่งคั่งของโภคทรัพย์ จึงพบความมั่งคั่งที่แท้จริงภายใต้สโลแกนในน้ำมีปลาในนามีข้าว

เสร่อที่คิดว่าคนดูหนังเรื่องนี้ทั้งประเทศเขาจะโง่กว่าตัวเอง

คนไหนที่กล้าเขียนบทหนังเรื่องไอ้หยัดกลับไปนานี้ขึ้นมาคงไม่เคยอ่านข้อมูลว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทยว่า

“รายงานความเหลื่อมล้ำโดยองค์กรอ็อกแฟม ประเทศไทย ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน คือรูปแบบความเหลื่อมล้ำที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย โดยพบว่าความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินอย่างสุดขั้วโดยมีค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini coefficient) ของผู้ครอบครองโฉนดอยู่ที่ 0.89

ในปี 2555 ประชากรไทยมากกว่าสามในสี่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใดๆ เลย และหมู่เจ้าของที่ดินนั้น ร้อยละ 10 มีที่ดินโฉนดมากเป็น 854 เท่าของผู้ถือครองที่ดินรายย่อยที่สุดร้อยละ 10

เกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงที่ดินทำกิน ระบบชลประทาน และเงินกู้ได้ โดยมีหลักฐานชี้ให้เห็นว่า เกษตรกรไทยนั้นอยู่ในภาวะสูญเสียที่ดินมากขึ้น

สถิติทางการตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า คนไทยราว 2.2 ล้านคนอยู่ในสภาวะเปราะบางเนื่องมาจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน โดยร้อยละ 40 ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ส่วนอีกร้อยละ 37 ไม่มีโฉนดที่ดิน และที่เหลือไม่มีที่ดินเพียงพอในการทำมาหากิน”

https://www.isranews.org/isranews-scoop/53793-land-61732.html

ยํ้าว่า เจ้าของที่ดินร้อยละสิบถือโฉนดครอบครองที่ดินมากเป็น 854 เท่าของผู้ถือครองที่ดินรายย่อยที่สุดร้อยละ 10

ชีวิตจริงของคนทำการเกษตรในประเทศไทย ต่อให้มีที่ดินเป็นของตนเอง แต่ถามว่า การทำนาปลูกข้าว หรือทำไร่ทำสวนต่างๆ นั้นมันง่ายขนาดใช้แค่สองมือกับจอบและเสียมเท่านั้นหรือ?

การทำนาสักแปลงต้องอาศัยระบบการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพอันแปลว่าเป็นการจัดการน้ำที่ทำให้เกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกของตนเองได้ ไม่ใช่เดี๋ยวท่วม เดี๋ยวแล้ง การทำการเกษตรต้องการเครื่องไม้ เครื่องมือ เครื่องจักรกล

ถ้าไม่เชื่อ จงไปเทียมแอกเทียมไถกับควายแล้วจงลงไปไถนาด้วยตนเอง

การทำนาที่จะลดต้นทุนและทำกำไรได้ในระยะยาวต้องมีการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพ เพื่อนำไปสู่การลดการใช้สารเคมี ต้องมีน้ำดี ต้องมีเครื่องไถนา เครื่องหว่าน เครื่องปลูก เครื่องเกี่ยว เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการใช้ยาฆ่าแมลง ทำให้ชาวนา เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีเวลาในชีวิตมากขึ้น และจะได้ใช้เวลาเหล่านี้ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของเขาในด้านอื่นๆ

ต้องเข้าใจว่า คุณภาพชีวิตไม่ใช่แค่การมีบ้านมีปลาปิ้งกินในกระต๊อบหลังหนึ่ง แต่หมายถึงการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา แหล่งเงินกู้

โอกาสในการมีสุนทรียรสในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมิติแห่งการเสพศิลปะ ความบันเทิง วรรณกรรม ไปจนถึงการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่มาพร้อมกับบ้านที่อยู่สบาย ปลอดภัย อากาศดี มีเวลาเดินทางท่องเที่ยว พักผ่อน

ชีวิตที่ดี ไม่ใช่แค่การได้นั่งขัดสมาธิกินปลาปิ้ง

ต้องรู้สมัยนี้ปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่ได้หาได้ง่ายๆ จับได้ง่ายๆ หรือหากมีก็ล้วนแต่ปนเปื้อนสารโลหะหนักในรูปแบบต่างๆ เพราะคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติถูกปนเปื้อนอย่างมาก

ต้องรู้ว่าในห่วงโซ่อาหารของประชากรโลกรวมทั้งประเทศไทยถูกครอบงำด้วยอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรยักษ์ใหญ่ ที่เจ้าของเมล็ดพันธุ์ และโปรตีนเกือบร้อยละเก้าสิบที่เราบริโภค ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ ไข่ และปลา

หมู่บ้านไม่ใช่คำตอบ ชนบทไม่ใช่คำตอบ

แต่คำตอบคือ เราต้องร่วมกันชี้ให้ครีเอทีฟหรือนักทำหนังโฆษณาที่ปฏิเสธจะยอมรับความจริงที่ว่า “การเมือง” นั้นส่งผลต่อชีวิต ความมั่งคั่ง และความปลอดภัยในชีวิตของเราและลูกหลานของเรา

ปัญหาความยากจนไม่ได้เกิดจากคนจนขี้เกียจ โลภ กินเหล้า เป็นหนี้ ทิ้งไร่นามาเมืองหลวง แต่ปัญหาความยากจนเกิดจากการที่ “อำนาจ” ของประชาชนถูกชนชั้นนำปล้นไปไว้กับตัวเอง ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถกำหนดหรือมีส่วนร่วมในการออกแบบสังคม เศรษฐกิจที่เป็น “คุณ” ต่อชีวิตของพวกเขา

สิ่งน่าประณามและน่าละอายอย่างยิ่งคือ ผลิตเรื่องเล่าดูถูกเพื่อนร่วมชาติ บิดเบือนข้อเท็จจริงว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ ปัญหาความยากจนที่เกิดขึ้นจากโครงสร้าง พร้อมโยนบาปให้คนตัวเล็กตัวน้อยที่ถูกกระทำอยู่แล้วให้กลายเป็น “ผู้ร้าย” ว่า เพราะมึงมันขี้เกียจ เพราะมึงมันละทิ้งวิถีชีวิตเดิมๆ เพราะมึงมันไม่รู้จัก มึงเลยจน

คำเดียวที่ฉันจะมีให้คนแบบนี้และเหล่านี้คือ

“พวกคุณนี่ฉลาดหรือโง่คะ”