คำ ผกา | สลิ่มอ่อนแรง เท่ากับ เผด็จการอ่อนแรงจริงหรือ?

คำ ผกา

ในขณะที่บทสนทนาว่าด้วยการเมืองที่เกิดขึ้นบนท้องถนนและในตลาดออนไลน์นั้นทะลุเพดานไปถึงจุดที่ฉันเรียกว่า การโฆษณาชวนเชื่อใดๆ จากฝ่ายอนุรักษนิยมของไทยนั้นไม่สามารถทำงานได้แล้วอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ช่องของกรมประชาสัมพันธ์อันมีสภาพไม่ต่างจากตู้โชว์เก็บของสะสมประเภทตุ๊กตาพลาสติกใส่ชุดไทยเอย ดอกไม้ปลอมเอย หมอนอิงสีเงินสีทองเอย ในสมัยคุณย่าคุณยายที่ลูกหลานสมัยนี้มาเห็นเข้าก็อยากรื้อทิ้งคืนความมินิมอลให้กับบ้าน

ไม่นับเนื้อหาในแบบเรียนวิชาภาษาไทย สังคม ประวัติศาสตร์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นักเรียนสมัยนี้เบ้ปากใส่

เด็กที่เรียนเก่งมากก็วิพากษ์ความปลอมของเนื้อหาเหล่านี้ได้เป็นฉากๆ

เด็กที่เรียนไม่เก่ง ก็ไม่อ่านหนังสือเหล่านี้อยู่แล้ว

สำหรับฉันในแง่ของอุดมการณ์กลุ่มอำนาจเก่า “เอาไม่อยู่” แล้ว

เรื่องเล่าว่า ด้วยความยิ่งใหญ่ เรืองรองของชาติไทย ประวัติศาสตร์ว่าด้วยวีรกรรมของวีรบุรุษ ก็ไม่มีใครซื้อ

คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิวัติสยาม 2475 อย่างแจ่มกระจ่าง การย้ายหมุด หรือการเปลี่ยนชื่อสถานที่ราชการ ย้ายอนุสาวรีย์ ที่เกี่ยวกับคณะราษฎร ยิ่งตอกย้ำบทบาทของคณะราษฎรในการสร้างชาติไทยอันศิวิไลซ์ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำไม่ต้องการ)

ในขณะที่บทสนทนาในม็อบ บนเวทีปราศรัย และในชีวิตประจำวันของผู้คนแสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ในสมรภูมิการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ของชนชั้นนำ

แต่ในสนามการเมืองที่เป็นจริงกลับมีการเล่นเกม “หน้ามึน” อย่างชวนให้กังวลใจว่า เรา – ประชาชน – ที่ออกมาต่อสู้บนถนนอยู่ตอนนี้ จะมีเรี่ยวแรงเหนี่ยวรั้งความมึนนี้ไปอีกนานแค่ไหน

พวกเขาตีมึนใส่เราอย่างไร?

ประยุทธ์ซึ่งล้มเหลวในการบริหารประเทศในทุกมิติกลับเป็นนายกฯ ที่อยู่ในตำแหน่งมาได้ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ

และแม้กระทั่งการมีม็อบออกมาไล่รัฐบาลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ติดต่อกันมายาวนานหลายเดือน ก็ไม่ได้ทำให้ประยุทธ์สะทกสะท้าน หรือพยายามจะแก้ไข ปรับปรุง สร้างภาพลักษณ์ใหม่ มีโครงการ นโยบายอะไรใหม่ๆ เพื่อโน้มน้าวให้คนเห็นว่า เออ รัฐบาลนี้หวั่นไหวเสียงก่นด่าของประชาชน

ตรงกันข้าม ประยุทธ์และพวก และรัฐบาลภายใต้การนำของเขา กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ใครอยากประท้วงก็ประท้วงไป แต่กูจะอยู่แบบนี้ และทำงานแบบนี้เหมือนเดิม

และสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นความฉลาด (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมี) ของประยุทธ์และฝ่ายความมั่นคงคือ ไม่ใช้ความรุนแรงกัดหรือปราบม็อบ ปล่อยให้มีการประท้วง ชุมนุม อาจมีขู่ การส่งเจ้าหน้าที่ติดตาม พอให้ “ไม่สบายใจ” ปล่อยเกียร์ว่างให้ครู ผู้บริหารโรงเรียนทรีตเด็กที่ออกมาประท้วงตามอำเภอใจ

เช่น เมื่อมีผู้บริหารโรงเรียนรู้เห็นเป็นใจให้เด็กชูสามนิ้วตอนเคารพธงชาติ ก็ไม่ลงโทษครู

ขณะเดียวกันถ้ามีครูไปคุกคามเด็กเพราะการแสดงออกทางการเมืองก็ไม่ลงโทษหรือไม่พยายามทำอะไรที่จะปกป้องเด็กเช่นกัน

จากนั้นก็มีการออกหมายเรียก ออกหมายจับ เพื่อรบกวนชีวิตของผู้ออกมาเคลื่อนไหวไม่ให้เป็นไปอย่างราบรื่น หรือเลือกจับกุม คุมขังบางคน

เช่น ล่าสุด กรณีไมค์และอานนท์ เป็นการกึ่งปราม กึ่งขู่ แต่ก็ไม่ได้ออกมา “ปราบ” อย่างเด็ดขาดจนอาจกลายเป็นชนวนในการลุกฮือของประชาชน อย่างมากก็มีประชาชนไปชุมนุมกันที่ สน.บ้าง หน้าศาลบ้าง ซึ่งเขาก็ปล่อยให้ชุมนุมไป จากนั้นทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งไมค์และอานนท์ก็อยู่ในคุกเหมือนเดิม

ทั้งนี้ ทางเราก็ได้แต่หวังว่า อิสรภาพของไมค์และอานนท์จะกลายมาเป็นแรงส่งให้สำหรับม็อบวันที่ 19 กันยายน ที่กำลังจะมาถึง

เขามึนเรื่องอะไรอีก?

ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด รุนแรงที่สุด เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของเราเดี้ยงโดยถ้วนหน้าไปทุกตัว คือ อุตสาหกรรมส่งออก ท่องเที่ยว จากมาตรการรับมือโควิดของรัฐบาล และบาดแผลทางเศรษฐกิจกำลังจะเผยโฉมหน้าให้เราเห็นไม่เกินสิ้นปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นจีดีพีติดลบ ตัวเลขคนว่างงาน ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กทยอยปิดกิจการเจ๊งไปอย่างไม่เป็นท่า เด็กจบใหม่ออกมาไม่มีงานทำ

ภาวะหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจกำลังจะกลายเป็นหนี้เสียโดยสมบูรณ์แบบ

พูดง่ายๆ ประเทศไทยกำลังจะล้มละลาย

แต่ประยุทธ์กับรัฐบาลสามารถนั่งตีมึนกับเรื่องนี้ไปวันๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อุตส่าห์ไปตั้งคนนอกมาเป็น รมว.คลัง แล้วอยู่ได้แค่ 27 วัน ก็ไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรว่า เฮ้ย แย่แล้ว ผมตั้งคนผิด ตั้งคนที่เข้ามาทำงานแล้วเอาเข้าจริงทำไม่ได้ เทกันไปกลางคัน ผมผิดไปแล้ว จากนั้นก็ควรรีบกระวีกระวาดทำอะไรสักอย่าง

นอกจากจะไม่ทำอะไร ไม่สำนึกผิด ไม่รู้ตัวว่าทำอะไร หรือรู้แต่ไม่แคร์ ก็ยังสามารถออกมาพูดว่า ไม่มี รมว.คลัง ไม่มีทีมเศรษฐกิจไม่เป็นไร เรามีข้าราชการประจำทำงานอยู่แล้ว และเรายังมีศูนย์บริหารเศรษฐกิจ ที่ตั้งขึ้นมาหลังจากที่มีศูนย์บริหารโควิด

แล้วเข้าใจไปเองว่า มันช่างประสบความสำเร็จเหลือเกิน

ฉันพูดและเขียนเป็นครั้งที่ล้านว่า การทำชอร์ตคัต ตั้งศูนย์บริหาร โน่น นั่น นี่ โดยมีนายกฯ เป็นประธาน เอา รมต.มานั่งเป็นลูกสมุน และเอาข้าราชการประจำมานั่งกำกับอีกที มันบิดเบือนการทำงานของระบบรัฐสภา

ที่ ครม.คือฝ่ายบริหาร คิดนโยบาย กุมการขับเคลื่อนทิศทางของประเทศในภาพใหญ่ ข้าราชการประจำมีหน้าที่นำนโยบายเหล่านั้นไปปฏิบัติตามสิ่งที่ฝ่ายบริหารวางแผนมาให้

การตั้งศูนย์นี่ นั่น โน่นของประยุทธ์ คือการทำลายการทำงานและระบบตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภา ทำลายกลไกการทำงานในระบอบประชาธิปไตย เพราะตามหลักการแล้ว ครม.คือ ส.ส.คือคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน การตั้งศูนย์เหล่านี้คือการรัฐประหารกลายๆ นั่นแหละ ทำลายบทบาทของสภา และ ครม.เสีย

ประยุทธ์ก็ตั้งตัวเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารสั่งงานกับข้าราชการประจำโดยตรง

จากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่า ตกลงการบริหารประเทศนี้ใครเป็นเจ้าภาพกันแน่ ต้องฟังใครกันแน่ ใครเป็นคนวางยุทธศาสตร์ นโยบายให้กับประเทศชาติกันแน่

มิพักต้องย้ำเตือนความจำกันว่า ตอนนี้เราเห็น รมต.คนไหนทำงานบ้าง รมต.ทุกคนจะกลายเป็น รมต.ที่โลกลืมกันหมดแล้ว

ยกเว้น รมต.ศึกษาฯ ที่โลกไม่ลืม เพราะโดนม็อบเด็กลากมาประจานหน้ากระทรวงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

สิ่งที่เกิดขึ้นกลายๆ ณ ขณะนี้คือ เรามีรัฐบาลเหมือนไม่มี มีสภาก็ขับเคลื่อน หรือตรวจสอบอะไรได้น้อยมาก

แม้แต่การอภิปรายเรื่องซื้อเรือดำน้ำของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านก็ลงเอยด้วยการถูกกองทัพแจ้งความเอาผิด ราวกับว่าสภาเป็นแค่เวทีแสดงละครหน้าม่านหลอกประชาคมโลกว่าเรายังมีสภาอยู่

แต่องคาพยพของการบริหารประเทศที่แท้จริงอยู่ในมือของใครก็ไม่รู้

และหน้าที่ของประยุทธ์ คือหน้าที่บริหารประเทศหรือมีหน้าที่อะไรก็เริ่มพร่าเลือนสำหรับประชาชน เพราะหน่วยบริหารประเทศถูกผลักไปอยู่ในมือของระบบราชการ

ข้าราชการประจำที่สุดท้ายก็ทำงานธุรการพอให้ทุกอย่างผ่านๆ ไปเป็นวันๆ

เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน ก่อประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติในฐานะเครื่องมือในการบูรณะ ฟื้นฟูประเทศ มีการใช้เงินนั้นไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่ ก็ไม่มีใครตอบได้

สมัยก่อน จะดีจะชั่ว รัฐบาลยังมี “วาระ” ของการบริหารประเทศที่ชัดเจน

เช่น ออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง, ออกจากประเทศพึ่งพิงเกษตรไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม หรือเป็นประเทศที่จะเน้นอุตสาหกรรมบริหารการท่องเที่ยว บริหารทางการแพทย์ ฯลฯ

แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นว่า ประเทศไทยภายใต้ประยุทธ์มี “วาระ” อะไรในการบริหารประเทศ

พูดเรื่องไทยแลนด์ 4.0 บ้าง ระเบียงเศรษฐกิจบ้าง แต่เหมือนพูดจากการท่องจำปากเปล่ามาโดยไม่รู้ว่าตัวเองพูดเรื่องอะไรอยู่

คิดอะไรไม่ออกก็บอกว่า “ผมเป็นคนไทย ทุกคนเป็นคนไทย ต้องช่วยกัน” ฟังแล้วก็ให้งงว่า เรามีนายกฯ หรือมีมัคนายก

มึนเรื่องเศรษฐกิจ ปล่อยเกียร์ว่าง ใช้เงินกู้ไปเรื่อยๆ ก็ตีมึนเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น

แม้แต่ กทม.เมืองหลวง อยู่ใกล้หูใกล้ตา เป็นเมืองที่สื่อมวลชน นักคิด นักเขียน นักธุรกิจ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นเมืองที่สามารถส่งเสียงดังกดดันรัฐบาลได้มากที่สุดว่า ปล่อยให้กรุงเทพฯ เท้งเต้งอยู่กับผู้ว่าฯ แต่งตั้งโดย คสช. ยาวนานต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร

แต่ปรากฏว่าแม้แต่ กทม.ก็เงียบ

ไม่มีแรงกดดันถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ใดๆ ทั้งสิ้น และคน กทม.ก็จำนนต่อการฝนตกสามร้อยหยดก็ท่วมเมือง รถติดได้สามชั่วโมงแล้ว เฉกเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ

การดูแล กทม.ทุกวันนี้ก็เหลือแต่งานธุรการ รูทีน กวาดถนน เก็บขยะ ดูแลต้นไม้ เท่านั้นจริงๆ

ไม่มีแผนการพัฒนาเมืองในระยะยาว ไม่มีประเด็นผังเมือง สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนเมือง เปลี่ยนคน เปลี่ยนโลกทัศน์ มันสมอง และความฝันของผู้คนอีกต่อไป – เช่นกันเราก็ค่อยๆ ชิน

การเลือกตั้งท้องถิ่นที่เหลืออีกทั่วประเทศ ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน

ไม่ใช่ประชาชนเราโง่เง่า ไม่รู้เรื่อง แต่เราทุกคนต่างมีปัญหาเฉพาะหน้าในชีวิตรุมเร้า หนี้สิน การทำมาหากิน การเลี้ยงลูก มีเรื่องลุงพล ชมพู่ มีเรื่องบอส มีเรื่องหวย ปัญหาคุณภาพชีวิตเฉพาะหน้าที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้เราไม่มีความฟุ่มเฟือยในชีวิตที่จะเดินหน้ากัดไม่ปล่อยว่า ป่านนี้ทำไมไม่ได้เลือกตั้งท้องถิ่นเสียที

เรามี กกต.ไว้เสียเงินเปล่าหรือไม่

เรื่องที่คอขาดบาดตายขนาดนี้ รัฐบาลก็ยังตีมึนตีกรรเชียง ตีฟรีสไตล์ ลอยนวลไปได้ใสๆ

จนฉันอยากจะตั้งชื่อรัฐบาลนี้ว่า รัฐบาลลัทธิเซน คือ น้อยแต่มาก เรียบแต่ด้าน บริหารประเทศแบบไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย คือ ออกมาด่าแค่ไหนก็ไม่รู้สึกรู้สา แล้วก็ไม่พยายามทำงานหรือทำอะไรเพื่อให้ปรากฏเป็นผลงาน หน้าทนอยู่ไปเรื่อยๆ ใครจะทำไม

ไล่ก็ไม่ออกเสียอย่าง

ม็อบออกมาเต็มบ้านเต็มเมืองก็ปล่อยให้ม็อบกันไปเหมือนอนุญาตให้มีมหรสพผ่อนคลายอารมณ์กันไปเป็นระยะๆ

ถ้าล้ำเส้นก็จับ แล้วก็เลือกจับแบบไม่ให้กลายเป็นการจุดติดของมวลชน

ตอนนี้คนสันนิษฐานกันว่า เขาจะทนแรงกดดันไม่ไหว จะยุบสภา ดูทักษะการตีมึนเบอร์นี้ฉันคิดว่าเขาคงไม่ยุบสภาให้เหนื่อย สู้ทู่ซี้อยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องมีผลงาน เผลอแป๊บๆ ถึงตอนนั้นก็ครบวาระ 4 ปี มีเวลาเหลือเฟือจะช้อปปิ้ง ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้าน ทั้งทางตรงทางอ้อม ช้อปปิ้งแบบจ้างให้ตัว ส.ส.อยู่เฉยๆ ไม่ทำงานก็ยังทำได้ พอเลือกตั้งใหม่ ชาวบ้านก็ไม่เลือก

มันง่ายดายแบบนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ถูกแก้แบบยกฉบับ ถ้า กกต.และองค์กรอิสระทั้งหลายยังอยู่ครบ ต่อให้นายกฯ ไม่ใช่ประยุทธ์ ก็ต้องเป็นอะไรที่คล้ายๆ กัน หรือหนักกว่าเดิม

คำถามคือการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่ทะลุเพดานไปไกล จะสู้ความหน้ามึน ไม่หือ ไม่อือ ยืนแกล้งโง่ไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร?

ในภาวะที่สลิ่มอ่อนแรงจะนำมาซึ่งความอ่อนแรงของเผด็จการไทยหรือไม่ ฉันยังสงสัยอยู่จริงๆ

แต่ทั้งหมดนี้ฉันไม่ได้หมายความให้เราหยุดเคลื่อนไหวต่อต้าน

เพราะยิ่งเราไม่อ่อนแรง เราก็ยิ่งต้องไม่ถอดใจ