“10 มกรา” ภาค 2??

ดูเหมือนว่าศึกภายในของพรรคประชาธิปัตย์จะหนักหนาสาหัสจนเกินเยียวยา

รอเพียงวันที่ “ความขัดแย้ง” จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง

ในขณะที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” และเหล่ารัฐมนตรีทั้งหลายยังมีความสุขกับการเป็น “รัฐมนตรี”

แต่ ส.ส.จำนวนไม่น้อยไม่มี “ความสุข”

ส่วนหนึ่งเพราะ “อกหัก”

กลุ่มของตัวเองไม่ได้เป็น “รัฐมนตรี”

แต่อีกส่วนหนึ่งจากการมองไม่เห็น “อนาคต” ของพรรค

“อนาคต” ที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

พรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยเป็น 1 ใน 2 พรรคใหญ่ของการเมืองไทย

จะแพ้ก็แต่เพียงพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

พลพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่อาจพึงพอใจเพียงแค่การเป็นพรรคขนาดกลางเหมือน “ภูมิใจไทย-ก้าวไกล”

แต่นับวัน “โอกาส” ที่จะกลับไปเทียบเคียงกับ “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” ยิ่งห่างไกล

หนำซ้ำ อาจจะเป็นพรรคขนาดกลางที่เล็กกว่า “ภูมิใจไทย” และ “ก้าวไกล” อีกด้วย

เพราะไร้ “จุดขาย” ทั้งตัวหัวหน้าพรรค

และผลงานที่จับต้องได้

การตัดสินใจของกลุ่ม “กบฏประชาธิปัตย์” 16 คนไปลงชื่อในญัตติแก้มาตรา 272 ร่วมกับพรรคก้าวไกลและพรรคฝ่ายค้าน

คือปรากฏการณ์ “ฝีแตก” ครั้งใหญ่

แม้สุดท้ายด้วยบารมีของ “ชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน” จะทำให้ ส.ส.ถอนชื่อออกจนญัตตินี้แท้ง

แต่ร่องรอยของ “ความขัดแย้ง” ชัดเจนยิ่ง

มีคนบอกว่า รัฐนาวาที่แข็งแกร่งเพียงใดก็พังทลายลงได้จาก “สนิม”

“สนิม” ที่เกิดจากเนื้อในตน

รัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เช่นกัน

ลำพังแรงเขย่านอกสภาจากขบวนการนักเรียน-นักศึกษาก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว

มาเจอ “สนิม” จากความไม่เป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลซ้ำอีก

โดยเฉพาะจากพรรคประชาธิปัตย์

อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยมีตำนานเรื่อง “กลุ่ม 10 มกรา”

ความแตกแยกในพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนั้นรุนแรงถึงขั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตัดสินใจยุบสภา

และพรรคประชาธิปัตย์ก็ทรุดหนักไปนานทีเดียว

อย่าแปลกใจที่วันนี้จะเริ่มมีคนถามถึง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

ยิ่งซุ่มนาน ยิ่งน่าสงสัย