ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | รัฐประหาร 2563 เส้นทางสู่ประเทศที่พังพินาศจนไม่เหลือแม้ซากปรักหักพัง

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง และถึงแม้ทุกคนยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป ความรู้สึกว่าประเทศใกล้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสำนึกที่คนพูดกันให้ควั่ก ไม่ว่าจะเป็นลาออก, ยุบสภา, ปฏิวัติรัฐประหาร หรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่นักวิชาการระบุว่าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย

โดยปกตินั้นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา แต่สถานการณ์การเมืองหลายอย่างในรอบสัปดาห์ชี้ว่าสังคมไทยเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ข่าวลือเรื่องทหารเคลื่อนกำลังเพื่อยึดอำนาจมีมากขึ้น ส่วนเรื่องง่ายๆ อย่างประยุทธ์ลาออกหรือยุบสภานั้นแทบไม่มีใครพูดถึงเลย

ล่าสุด มีนักการเมืองสำคัญในพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านพูดเรื่องนี้แล้วอย่างน้อย 4 ราย ส่วนผู้สื่อข่าวและ ส.ส.พรรคก้าวไกลถึงกับตั้งคำถามเรื่องนี้กับพลเอกประยุทธ์ตรงๆ ที่ทำเนียบและรัฐสภา

คนจำนวนมากเชื่อว่าสังคมไทยใกล้จะมีเรื่อง และเรื่องที่ว่านั้นใหญ่จนการยุบสภาหรือลาออกยังเป็นเรื่องเล็กเกินไป

เพราะความขัดแย้งในสังคมไทยในเวลานั้นไม่ใช่ปัญหาเรื่องใครควรเป็นนายก แต่คือปัญหาว่าอะไรคือระบอบการเมืองการปกครองที่ควรเป็นของประเทศไทย

พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่นายกที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ถึงแม้คนที่ชิงชังพลเอกประยุทธ์ทั้งด้วยเรื่องปฏิปักษ์ประชาธิปไตยและความห่วยส่วนบุคคลจะมีมากเพียงใด สองเดือนกว่าๆ ที่ม็อบประชาชนก่อตัวทั้งแผ่นดินกลับมีการประกาศขับไล่ประยุทธ์แบบ “ประยุทธ์ออกไป” น้อยเหลือเกิน

ถ้าเทียบกับม็อบพันธมิตรและกปปส.ที่เอะอะสนธิลิ้ม/ ศรัณยู/ สุเทพก็ตะโกน “ทักษิณออกไป” และ “ยิ่งลักษณ์ออกไป” ม็อบเยาวชนปลดแอกกลับตะโกนว่า “ประยุทธ์ออกไป” น้อยมาก และโดยส่วนใหญ่ก็เป็นการทำเพื่อสร้างความฮึกเหิมในการชุมนุมหรือเดินขบวนมากกว่าเป็นประเด็นหลักจริงๆ

ขณะที่พันธมิตรและ กปปส. โจมตีบุคคลเพื่อเปิดทางให้ทหารเอาปืนจ่อหัวประชาชนให้อยู่ใต้อำนาจพวกปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ม็อบเยาวชนปลดแอกกลับพูดเรื่อง “ระบบ” อย่างรัฐธรรมนูญจนลามสู่เรื่อง “ระบอบ” ที่ถูกยกระดับเพดานการพูดจนเป็นเรื่องที่พูดแทบทุกเวทีอย่างรวดเร็ว

จริงอยู่ การยกระดับการพูดในที่ชุมนุมซึ่งคนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่การพูดในเรื่องต้องห้ามทั้งการศึกษา, เพศ , สิบข้อเสนอปฏิรูป ฯลฯ โดยมวลชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถือเป็นปฏิกิริยาที่ไม่ปกติ เพราะเท่ากับอะไรที่เคยเป็นเรื่องต้องห้ามกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นว่าต้องพูดในปัจจุบัน

ไม่มีทางประเมินได้ชัดๆ ว่าคนส่วนใหญ่อยู่ข้างประชาชนปลดแอกหรือเผด็จการ แต่สิ่งที่ยืนยันได้แน่ๆ ก็คือพลังฝ่ายต่อต้านเผด็จการยิ่งนานยิ่งมีผู้สนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามฝ่ายรัฐบาลและกองหนุนที่เผชิญความถดถอยทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือและการสนับสนุนของประชาชน

ต้นกันยายนมีข่าวลือหนาหูเรื่องเคลื่อนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ และหากพูดตรงๆ สถานการณ์เวลานี้ถึงขั้นที่ทหารมีความพร้อมจะรัฐประหารได้ทุกเมื่อ

แต่ปัญหาที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยยังแก้ไม่ตกก็คือผบ.ทบ.และกองหนุนไม่สามารถสร้างกระแสให้สังคมออกใบอนุญาตยึดอำนาจได้เลย

แม้ประเทศไทยยุคหลังระบอบราชาธิปไตยจะมีรัฐประหารเฉลี่ยทุก 7 ปี แต่ด้วยเงื่อนไขที่การเมืองมวลชนขยายตัวหลังประชาชนขับไล่สามนายทหารทรราชย์ยุค 14 ตุลาคม 2516 การรัฐประหารทุกครั้งต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างความยอมรับของประชาชนก่อนจะถึงวันลากรถถังมายึดอำนาจจริงๆ

ข้ออ้างของทหารที่ยึดอำนาจทุกชุดใช้ตั้งแต่ปี 2534 คือเรื่องสถาบัน แต่ข้อเท็จจริงที่ประชาชนเห็นจากการยึดอำนาจที่ผ่านมาคือทหารใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างมั่วไปหมด ตัวอย่างในรัฐประหารปี 2534 พล.อ.สุนทร ถึงขั้นอ้างว่ามีการลอบสังหารบุคคลสำคัญ ทั้งที่ความจริงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเลย

ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าทหารที่คิดยึดอำนาจตอนนี้มีแผนจะใช้ข้ออ้างอะไร เพราะประเด็นชังชาติและอื่นๆ ที่ผบ.ทบ.กับกลุ่มสุดโต่งเคยใช้โจมตีอดีตนายกทักษิณ, คุณธนาธร, พรรคเพื่อไทย, พรรคอนาคตใหม่ , แฟลชม็อบนักศึกษาช่วงต้นปี 2563 ฯลฯ ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ประสบความสำเร็จเลย

รัฐประหารในอดีตเคยอ้างเรื่องบ้องตื้นอย่างโจรผู้ร้ายชุกชุม, ส.ส.รัฐบาลทะเลาะกัน หรือขจัดวัยรุ่นอันธพาล แต่ในประเทศที่พลเอกประยุทธ์ตั้งตัวเป็นใหญ่จนคนในระบอบประยุทธ์ยึดทุกองค์กรมาตั้งแต่ปี 2557 ข้ออ้างอะไรก็จบที่ความเฮงซวยของพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรได้ตลอดเวลา

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คณะรัฐประหารจะอ้างความเฮงซวยของพลเอกประยุทธ์เพื่อตั้งรัฐบาลใหม่ที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกต่อไป และต่อให้มีคณะรัฐประหารที่เซ่อเขลาจนทำแบบนั้นจริงๆ ผลลัพธ์ที่ได้คงเป็นการต่อต้านรัฐประหารที่คนเข้าร่วมมากจนเกินกำลังของจินตนาการทางการเมืองในปัจจุบัน

รัฐประหารอีกแบบที่เป็นไปได้คืออ้างความเฮงซวยของพลเอกประยุทธ์เพื่อตั้งรัฐบาลซึ่งไม่มีพลเอกประยุทธ์เลย แต่รัฐประหารสูตรนี้เป็นได้แค่แบบจำลองทางทฤษฎี เพราะหกปีที่ระบอบประยุทธ์ยึดประเทศคือหกปีที่คุณประวิตรและคุณประยุทธ์คุมการแต่งตั้งทหารถึงระดับคุมกำลังอย่างต่อเนื่อง

ด้วยอำนาจและอิทธิพลที่ฝ่ายพลเอกประยุทธ์มีเหนือประเทศอย่างไม่เคยมีในคณะรัฐประหารชุดอื่นโอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารซึ่งจบด้วยการไม่มีพวกประยุทธ์นั้นแทบเป็นศูนย์ หกปีของระบอบประยุทธ์ทำให้กองทัพเป็นของระบอบประยุทธ์จนอีกนัยคือเป็นกลไกการเมืองเพื่อจรรโลงเผด็จการ

วิธีรัฐประหารที่พอเป็นไปได้คือรวบรัดยึดอำนาจแล้วตั้งรัฐบาลที่ไม่มีนักการเมือง แต่แผนนี้จะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อประชาชนแยกพลเอกประยุทธ์กับพรรคการเมือง ส่วนพรรคการเมืองก็โง่และเซ่อพอจะเป็นแพะรับบาปให้ระบอบประยุทธ์โยนความเฮงซวยทั้งหมดจนเป็นจำเลยสังคม

เดาได้ยากว่าพรรคการเมืองจะต้านหรือยอมเป็นกระโถนให้พลเอกประยุทธ์และพวกโยนของเสียแต่โดยดี พลังประชารัฐคงมีชะตากรรมเป็นเบ๊อย่างที่เป็นมาตลอดอยู่แล้ว แต่การที่พลเอกประวิตรเป็นหัวหน้าพลังประชารัฐก็ทำให้แผนโยนบาปแปดเปื้อนคุณประวิตรและคุณประยุทธ์ไปด้วยอยู่ดี

ที่ผ่านมานั้นภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ไม่กล้าเผชิญหน้ากับระบอบเผด็จการ แต่ทั้งคู่ไม่ยอมแน่ๆ หากทหารยึดอำนาจแล้วโยนความผิดไปที่พรรคร่วมทั้งหมด ผลก็คือยุทธวิธีนี้ทำให้รัฐประหารเป็นปัญหาของประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาของฝ่ายทักษิณและเพื่อไทยดังที่ผ่านมา

รัฐประหาร 2557 ผ่านไปโดยพรรคการเมืองแทบไม่กล้าหือทหารเลย ยกเว้นคุณจาตุรนต์ ฉายแสง และพรรคเพื่อไทยกลุ่ม นปช. แต่รัฐประหารปี 2563 เกิดขึ้นท่ามกลางความรังเกียจของประชาชนต่อเผด็จการ ส่วนกองทัพไม่มีข้ออ้างรัฐประหารที่เข้าท่า สถานการณ์จึงต่างกับปี 2557 อย่างสิ้นเชิง

หนึ่งในเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจสำเร็จในปี 2557 คือทุกกลุ่มได้ประโยชน์จากการทำลายล้างคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย ส่วนการยึดอำนาจในปี 2563 จะไม่มีใครได้อะไร นอกจากกองทัพและเครือข่ายประยุทธ์ระดับสายตรง แต่ฝ่ายรัฐประหารจะเป็นศัตรูกับคนแทบทุกกลุ่มทันที

รัฐประหารในสังคมไทยมักสร้างวาทกรรมลวงโลกว่าประชาชนยอมรับจนไม่มีการใช้ความรุนแรง แต่รัฐประหารคือการใช้ทหารและอาวุธสงครามยึดอำนาจเพื่อปกครองประเทศใต้กฎอัยการศึกเป็นเวลานาน รัฐประหารทุกครั้งจึงเป็นความรุนแรง เพียงแต่จะรุนแรงโจ่งแจ้งแค่ไหนก็สุดแท้แต่กรณี

รัฐประหาร คสช.เป็นหนึ่งในรัฐประหารที่รุนแรงที่สุดในสังคมไทย จำนวนคนที่ถูกจับ-ถูกซ้อม-ถูกยัดคดี-ถูกอุ้ม-ถูกขู่-ถูกเรียกตัว ฯลฯ มีมากจนหลายคนต้องหนีออกนอกประเทศถึงวันนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการไล่ล่าประชาชนด้วยเรื่องโง่ๆ มหาศาล เช่นจับคนแจกขันแดงและปฏิทินยิ่งลักษณ์-ทักษิณ

ด้วยสภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน หากมีกลุ่มคนที่เขลาจนลงมือรัฐประหารจริงๆ ก็เป็นไปได้สูงมากที่คนกลุ่มนี้จะรัฐประหารด้วยวิธีที่รุนแรงกว่าที่พลเอกประยุทธ์เคยทำในปี 2557 เพราะนี่คือรัฐประหารที่มีศัตรูเป็นประชาชนทั้งประเทศ และแทบไม่มีพันธมิตรเลย ยกเว้นวรงค์และคชโยธี

ความเชี่ยวชาญในการปราบประชาชนของทหารไทยอาจทำให้มีคนคิดว่ารัฐประหารปีนี้สำเร็จอย่างในอดีต แต่ไม่มีรัฐประหารไหนเกิดขึ้นเพื่อปกป้องผู้บริหารประเทศที่แสนห่วยซึ่งประชาชนแสดงความรังเกียจอย่างเปิดเผยแบบสมัยนี้ หรือคิดง่ายๆ ก็คือยึดแล้วจะมีใครกล้าเป็นรัฐมนตรี?

มีคนพูดมากแล้วว่ารัฐประหารปี 2563 จะทำให้ประเทศหายนะอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมา ความถดถอยทุกมิติที่เกิดขึ้นหลังปี 2557 จะทวีความถดถอยในอัตราเร่งที่สูงมากหากมีรัฐประหารปี 2563

จนแม้คนประเภทที่หวังผลประโยชน์จากการยึดอำนาจอาจพบว่าราคาของความพินาศมากจนไม่คุ้มค่าเลย

ไม่มียุคไหนที่คนทุกกลุ่มในสังคมต้องช่วยกันสกัดรัฐประหารมากเท่าปัจจุบัน เพราะรัฐประหารครั้งนี้จะเป็นรัฐประหารที่รุนแรงที่สุด ทำลายประเทศที่สุด สร้างความแตกแยกที่สุด และทำให้ประเทศอยู่ใต้ระบอบทรราชย์ที่เขลาจนประเทศจะไม่เหลือแม้ซากปรักหักพัง

ถึงเวลาแล้วที่คนไทยที่รักประเทศจริงๆ ไม่ใช่รักแค่ปาก ต้องออกมาปกป้องประเทศจากหายนะที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างขาดสติและไร้ยางอาย