ตัวนำยวดยิ่ง / ฉบับประจำวันที่ 11-17 กันยายน 2563

นาทีนี้ “อานนท์ นำภา” ได้ถูกอธิบายและเปรียบเทียบเป็นประหนึ่ง “ตัวนำยวดยิ่ง”(superconductor) ของมวลชนไปเรียบร้อยแล้ว
โดยเฉพาะการชุมนุม 19 กันยายน 2563 ที่จะเป็นหมุดหมายสำคัญของ “ขบวนการประชาชนปลดแอก” ว่าจะเดินหน้า หรือถอยหลัง
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะบอกว่า “เรื่องของการชุมนุม ซึ่งถ้าหากชุมนุมไม่รุนแรง ก็ว่าไปตามสิทธิของแต่ละคน”
เช่นเดียวกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งเดินฝ่ากระแสข่าวลือ “รัฐประหาร” กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาและประชาชนในวันที่ 19 กันยายน เพียงสั้นๆ ว่า “ไม่น่าห่วง”
แต่ดูเหมือนความเคลื่อนไหวในฝั่งฟากรัฐบาล ตื่นและเต้นไปกับการนัดหมาย 19 กันยายน ไม่น้อย
และพยายามสกัดเต็มที่

หนึ่งในนั้น คือ ปฏิบัติการยื่นศาลอาญาให้เพิกถอนการประกัน แกนนำสำคัญคือ นายอานนท์ นำภา “ตัวนำยิ่งยวด” และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง” แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก ผู้ต้องหา ในคดียุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 และข้อหาอื่นๆ รวม 7 ข้อหา
โดยหวังว่า การจำกัดพื้นที่นายอานนท์และนายภาณุพงศ์ จะทำให้การปลุกกระแสการชุมนุมลดระดับลง
ซึ่งก็บรรลุผล ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการประกัน
แต่แทนที่นายอานนท์ และนายภานุพงศ์ จะ”หมดบทบาท”
กลับย้อนศร ยอมเข้าเรือนจำและไม่ขอประกันตัว

ท่าทีและเป้าหมายของนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่แสดงออก ไม่ยากที่จะ “วิเคราะห์”
ด้วยแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่า พร้อมยอมสูญเสียอิสรภาพ เข้าสู่เรือนจำ
เพื่อที่จะแลกกับเสียงสนับสนุนจากมวลชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เพราะนี่จะเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันว่า การคุกคามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยมีจริง
ขณะเดียวกัน ยังใช้เป็นเงื่อนไขเรียกร้องการตื่นตัวของประชาชนทั่วไป ให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้
มิฉะนั้นจะถูกฝ่ายรัฐบาลที่กุมกฎหมายอยู่ในมือเข้าควบคุม บดขยี้ อย่างที่เห็น
ซึ่ง “ยุทธวิธี” ยอมสูญเสียอิสรภาพของบุคคลทั้งสอง ก็เริ่มมีมรรคผล
เพราะปรากฏการชุมนุมต่อเนื่อง
ทั้งที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรียกร้องให้ปล่อยนายอานนท์และนายภาณุพงศ์อย่างต่อเนื่อง
ข้อความ #freeอานนท์ #freeไมค์ ถูกเผยแพร่ออกไปในโลกโซเชียลอย่างกว้างขวาง
พร้อมกับคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ว่า อำนวยความยุติธรรม จริงหรือ
เหล่านี้ ล้วนสะท้อนภาวะบานปลายของการคุมขังนายอานนท์และนายภาณุพงศ์
และอาจกลายเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ร้อนแรงขึ้นเหนือการคาดหมาย

นี่จึงอาจเป็นเหตุผลให้ฝ่ายรัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์ใหม่
เพราะได้น้อยกว่าเสีย หากยังปล่อยให้นายอานนท์และนายภาณุพงศ์อยู่ในเรือนจำต่อไป
ประกอบกับเป็นลักษณะพิเศษในการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนปลดแอกครั้งนี้
นั่นคือ ไม่มีแกนนำที่รวมศูนย์ ต่างกลุ่ม ต่างมวลชน เคลื่อนไหวในส่วนของตนเอง
การไปเก็บตัวผู้นำเพียงคนสองคนไว้ในเรือนจำ แทบจะไม่มีผลกระทบต่อขบวนการเคลื่อนไหว
ตรงกันข้าม กลับเป็นเงื่อนไข “ด้านลบ” ที่พุ่งกลับมาทิ่มแทงฝ่ายรัฐบาลเสียเอง ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ
นี่จึงเป็นเหตุผลโดยรวมที่ทำให้ตำรวจเปลี่ยนท่าที
ไปยื่นคำร้องต่อศาลว่าได้สอบสวนบุคคลทั้งสองและฝ่ายที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว
ไม่ขอฝากขังอีก
ทำให้ศาลอาญามีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันหยุด ให้ปล่อยตัวนายอานนท์และนายภาณุพงศ์
ถือเป็นการปล่อยตัวที่แม้แต่นายอานนท์และนายภาณุพงศ์บอกว่าไม่คาดคิดมาก่อน

จึงน่าจะคาดหมายได้ไม่ยากเช่นกันว่า ฟากรัฐบาลเองก็พยายามที่จะลดเงื่อนไขที่จะทำให้การชุมนุมร้อนแรงลง
เพราะเกิดวันที่ 19 กันยายน มีผู้ชุมนุมมาร่วมจำนวนมาก ประเด็นของนายอานนท์และนายภาณุพงศ์จะกดดันและบีบคั้นรัฐบาลอย่างหนักแน่นอน
การลด”เงื่อนไข” จึงจำเป็น
ด้วยขณะนี้ นายภาณุพงศ์ที่แม้เป็นเพียงเยาวชน แต่ก็มากด้วยแรงดึงดูดที่จะนำพาเยาวชนออกมาปลดแอกอย่างคึกคัก
ไม่ต่างกับนายอานนท์ นับจากการปราศรัยทะลุเพดานที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
วันนี้ได้กลายเป็น ตัวนำยวดยิ่ง ที่ทุกฝ่ายไม่อาจมองข้ามได้
——————-