จับเข่าคุย “จับกัง 1” ขอ 6 เดือน แก้คนตกงาน จัด Job Expo ล้านตำแหน่ง ยกระดับผู้ประกัน 16 ล้านคน

“ผมภูมิใจและดีใจที่ได้มาอยู่กระทรวงนี้ มีแต่คนบอกในสภาวะนี้ถือเป็นกระทรวงที่งานหนักมาก แต่นี่คือสิ่งที่ผมชอบ อยากทำอะไรที่ยากๆ เราต้องมา “แกะโจทย์” แก้ปัญหาให้ได้ก่อน ว่าที่ผ่านมาในอดีตเราคงเคยได้ยินว่า “กระทรวงแรงงาน” ถูกคอมเมนต์และต่อว่าจากผู้ใช้แรงงานรวมถึงผู้ประกันตนเยอะมาก ซึ่งในส่วนที่ดีก็มีอยู่ แต่การสื่อสารอาจจะไม่ถึงกันไม่เข้าใจกัน” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานป้ายแดง ตั้งโจทย์ใหญ่ในการมากู้วิกฤตแรงงานหลังโควิดหนนี้

รมว.สุชาติเล่าว่า ภารกิจวันนี้ที่จะทำคือต้องแก้ปัญหาคนตกงานให้ได้ โดยต้องเอาตัวเลขตกงานแท้ๆ มาตั้งให้ได้ก่อนแล้วก็หางานมา ให้ได้กับเขา แมตชิ่งกัน

“ทำงานวันแรก ผมก็ขอตัวเลข เรียกทุกกระทรวงทบวงกรมมานั่งคุยกัน ตัวเลขหนึ่งที่เราต้องเชื่อถือก็คือประกันสังคม เพราะคนทำงานจะต้องมีการจ่ายสมทบทุกเดือน เมื่อมีปัญหา ประกันสังคมก็จะมีการเยียวยา ช่วยเหลือ ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม ตัวเลขที่ผมได้คือ 710,000 กว่าคน อันนี้เราพูดถึงแรงงานในระบบ ส่วนนอกระบบเราไม่มีอ้างอิงได้ แต่ที่มีกลุ่มต่างๆ ที่มีคนออกมาวิเคราะห์ตัวเลขว่าจะมีการตกงาน 7-8 ล้านคน อาจเป็นการวิเคราะห์โดยไม่มีข้อมูลรองรับ เพราะผมเองดูจากตัวเลขในระบบที่มีเอกสารยืนยัน”

“พูดถึงปัญหาคนว่างงานนั้นเราไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องอาศัยความร่วมมือกับบริษัทเอกชน ดึงผู้ประกอบการมาร่วมกับเรา ต้องนำเอา 2 ข้างมาเจอกันให้ได้ ซึ่งเรากำลังจะมีงานใหญ่ Job Expo กับอัตรางาน 1 ล้านตำแหน่ง ถามว่าเอางานมาจากไหนบ้าง ผมก็เอามาจากภาครัฐที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งกระทรวงให้จ้างงานเพื่อช่วยเหลือคนว่างงาน รวมถึงผู้ส่งออกแรงงาน และการที่ภาคธุรกิจกลับมาเปิดได้ก็ต้องการจ้างงานอีกส่วนหนึ่ง นอกนั้นคืองานพาร์ตไทม์ รวมแล้วล้านตำแหน่ง”

“จะเป็นมิติใหม่ของกระทรวงแรงงานที่ไม่เคยทำมาก่อน ในอดีตอาจจะมีการเปิดหางานเล็กๆ ตามจังหวัดนั้นอำเภอนี้ ครั้งนี้จะยิ่งใหญ่ ส่วนใครที่มาไม่ได้ เราก็จะมีแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามาช่วย นี่คือสิ่งที่ผมจะทำ”

“การทำงานของผมในวันนี้ข้าราชการต้องจดจำผมแน่ๆ ผมได้เชิญเขามาคุยและพูดกับเขาคำแรกคือท่านจะทำกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ภาวะวิกฤตแบบนี้กระทรวงแรงงานเรายกระดับกระทรวงเราเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ เพื่อจะเป็นตัวขับเคลื่อน เป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ผมเป็นคนเอาจริง วันนี้กรมการจัดหางานคุณต้องเดินออกไปหางาน ทำตัวเสมือนเซลส์หางานให้คนทำ ต้องออกไปช่วยเขา”

“กรมสวัสดิการก็ต้องออกไปดูเรื่องคุ้มครองสิทธิที่ผ่านมาว่าเรื่องอะไรที่คาไว้ต้องปรับให้รวดเร็วมากขึ้น ส่วนประกันสังคมคืออาวุธหลักของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นงบประมาณที่ผู้ประกันตนสะสมกันไว้ ผมเองได้พูดกับผู้ที่เกี่ยวข้องระหว่างการทำงานในยุคของผมจะไม่ใช่ยุคตั้งรับอีกต่อไป”

“ที่สำคัญเราพยายาม “คิดนอกกรอบ” เสมอ อย่างในอดีตประกันสังคมจะทำหน้าที่จัดการรักษาฟรีจริง แต่ทำไมเราไม่รู้จักไปดูที่ต้นเหตุคือการป้องกัน เช่น ไข้หวัดใหญ่เป็นกันทุกคนทุกปี ผมเลยให้สั่งเช็กดูว่าคนช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป จนถึง 65 มีอยู่ประมาณเกือบ 2 ล้านคน ก็ให้นโยบายผู้ประกันตนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี เพิ่มการป้องกันไปอีก เพราะในอดีตเราจะคิดกันแต่อยู่ในกรอบ วันนี้เราต้องคิดใหม่อีก”

“หรือผมมีศูนย์อำนวยการแรงงานแห่งชาติที่จะต้องมีการยกร่างและยกระเบียบต่างๆ ใหม่ โดยนำเอาข้อมูลทุกอย่างมารวมที่ศูนย์กลางตรงนี้ให้มันขับเคลื่อนไปในทางเดียวกันทั้งหมด ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ กรมหนึ่งทำงานไป ไม่มีแผน ผมจะต้องมีข้อมูลจากทุกกรมเอามารวมกัน จะได้เดินไปถูกต้อง ยุคนี้มันต้องมีการทำงานเชิงรุกแล้ววัดผลได้ ให้มีประสิทธิภาพเพื่ออนาคตจะได้ของบประมาณเพิ่มได้”

“แม้กระทั่งกรอบคิดในอดีตที่เวลาที่เราได้ยินคำว่า “เด็กจบมาแล้วตกงาน” ผมคิดว่ามันมีปัญหาอยู่ที่การวิจัย กระทรวงแรงงานเองก็ต้องมีการทำวิจัยออกมาว่าอาชีพใดที่ขาดแคลน ก็ไปคุยกับกระทรวงศึกษาฯ ว่าเราจะต้อง MOU ร่วมกัน ดำเนินนโยบายไปในทางเดียวกันให้ตรงกัน มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำในเชิงรุก ในยุคผมจะต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง”

“คุณลองไปไล่ถามคนในกระทรวงได้เลยว่าไม่มีใครทำมาก่อน ที่เราเชิญทั้งสหภาพและสภาแรงงานแขนงต่างๆ ร้อยกว่ากลุ่มที่ผมเรียกมาหาทางออก ยุคผมต้องเป็นยุคที่ต้องวิ่งเข้าหาปัญหา ไม่ใช่ตั้งรับปัญหา” สุชาติระบุ

จับกัง 1 มองว่า “สถานการณ์ปัจจุบันวิกฤตการณ์จุดที่แย่ที่สุดของภาคแรงงานในบ้านเราตอนนี้พ้นจุดวิกฤตสุดมาแล้ว เว้นแต่ภาคการท่องเที่ยวที่ต้องพึ่งพาต่างชาติ แต่หลายแห่งจากที่ผมพาครอบครัวไปเที่ยว เขาก็สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ หลายที่ปรับตัวมาก เราเองต้องคิดในมุมบวกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นแน่ หากวัคซีนสำเร็จผมเชื่อเหลือเกินว่าคนทั่วโลกจะแห่มาไทยก่อนแน่นอน”

“ข้อคิดในชีวิต ผมมองบวกตลอดไม่เคยมองลบเลย คำที่ผมพูดกับ “คนใกล้ตัว” อยู่เสมอ คือถ้าคุณมองลบตลอด เมื่อคุณเป็นโรคกระเพาะคุณก็คิดว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ปวดท้องก็นอนไม่หลับ เพราะว่าคุณคิดลบ ตัวผมเองมาจากเซลส์ขายบ้าน เคยรับเงินเดือน 5,000 บาท ผมเคยเป็นพนักงานแบงก์ เคยเป็นจับกัง เคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เคยเป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมเองเห็นและสัมผัสกับทุกรสชาติในชีวิต แต่ผมคิดบวกเสมอ”

“คนเราต้องมี 2 อย่างคือ มีหน้าที่และความรับผิดชอบก็ต้องเรียนรู้หลักการการขาย เป็นพนักงานแบงก์ผมก็เรียนรู้วิธีการทำสินเชื่อ เรียนรู้วิธีการกู้แบงก์ เรารู้วิธีต่างๆ จากการเข้าไปสัมผัสหน้างานต่างๆ มา ชีวิตเราเคยลำบากมาก่อน บ้านเรายากจน ครอบครัวยากจนเราไม่มีทุน เราก็ต้องไปกู้เขามาเพื่อมาจ่ายเงินให้คนงานมีเงินแล้วได้ทำงานต่อ”

“วันนี้ผมมาอยู่กระทรวงนี้ บางเรื่องคือโจทย์ที่ยากมาก แต่เราคิดบวก ทำไมมันจะแก้ไม่ได้ เรื่องยากกว่านี้เราก็ทำมาหมดแล้ว แถมผมยังมีข้าราชการอีกเป็นหมื่นคน มีคนช่วยงานตั้งเยอะแยะ เมื่อก่อนเราทำธุรกิจและมีครอบครัวกันอยู่ไม่กี่คนยังผ่านมาได้”

“ไม่ว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แม้แต่เรื่องการระบาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดรอบสอง แต่เราก็เตรียมมาตรการไว้อย่างห่างๆ แล้ว ถ้าเราคิดบวกว่าทุกอย่างจะจัดการง่าย และเราพร้อมเดินตามท่านนายกฯ และรัฐบาล รวมถึงศูนย์ ศบค.ที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุด มีมาตรการกักตัว จึงอยากถามว่าเชื้อจะเข้ามาอย่างไรนอกจากชายแดนเรา ซึ่งก็ต้องควบคุมให้ดี”

“เช่นกัน ที่บ้านเรามีวิกฤตการเมือง ที่หลายคนเป็นห่วง ผมเองเข้ามาเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส.ตอนปี 2554 ผมก็ตกผลึกว่าสิ่งหนึ่งที่จะทำให้การเมืองอยู่ไม่ได้คือเรื่องการทุจริต แต่ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารมาไม่มีเรื่องนี้ ส่วนเราเองก็จะมุ่งทำงานอย่างเดียว ใครจะว่าอะไร เราก็จะทำแต่งาน งาน งาน”

ส่วนการที่กระทรวงนี้ต้องมี “รัฐมนตรีช่วย” ซึ่ง ศ.นฤมล (อดีตโฆษกรัฐบาล) รมว.สุชาติมองบวกว่า “เราก็อยู่พรรคเดียวกัน เป็นเหมือนพี่น้องกัน อาจารย์นฤมลเข้ามาช่วยถือว่าเป็นส่วนที่ดี เพราะบางอย่างมีส่วนของการวิจัยงานวิชาการมอบหมายให้ท่านไปดูแลเลย ผมก็มาในงานขาลุยเข้าไปแก้ปัญหา”

“ผมเองเป็นนักปฏิบัติไม่ใช่วิชาการ เราเคยเห็นภาพของทั้งลูกจ้างและนายจ้างมาหมดแล้ว ผมรู้ดีว่าปัญหามันจะมาบรรจบกันได้ตรงไหน การจ้างงานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านรัฐมนตรีช่วยท่านก็มีความรู้เรื่องของการวิจัย เรื่องสถิติอะไรต่างๆ ท่านก็จะมาดูแลกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ต้องการเรื่อง up skill, reskill และ New skill ให้พัฒนา”

“ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำให้สำเร็จและมีการรื้อปรับใหญ่ เช่น ระเบียบประกันสังคมที่เราจะต้องมานั่งคุยกัน พอเกิดวิกฤตขึ้นมาประกันสังคมโดนล็อกด้วยกฎหมายหลายเรื่องที่ไม่สามารถไปช่วยเหลือได้โดยตรงหรือทันที เราต้องไปแก้กฎหมาย แก้ พ.ร.บ.ดูว่าอะไรที่สามารถเปิดช่องให้เราดำเนินการได้มากกว่านี้บ้าง อะไรที่ทำให้เราบริหารไม่คล่องตัวเวลาเกิดวิกฤต ผมเองมีนโยบายมีแผนหมดแล้ว ผมก็จะต้องนำเสนอให้รัฐบาลได้รับทราบต่อไป แต่รับรองว่าอะไรที่จะทำหลังจากนี้คือโดนๆ เป้าหมายทั้งนั้น แบบโป๊ะเชะเลย”

“นอกจากนี้ มีเรื่องของสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของผู้ประกันตน จะต้องดีขึ้น ในยุคผมต้องไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ทำกันแบบเดิม ผมมีโอกาสได้คุยกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เดี๋ยวเราจะมีการร่วมมือกัน เรามีผู้ประกันตนรวม 16 ล้านคนนี้ สามารถซื้อสินค้าราคาถูกกว่าคนอื่นได้ 3-5% ผมจะทำ จะต้องมีระบบ Application มาช่วย ลดราคา เป็นใหม่ๆ นี่คือการที่ผมจะ “รวมไทยสร้างชาติ” กับเอกชนเป็นครั้งแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้น ผมก็คุยแล้ว หรือการไปเที่ยวพักโรงแรมต่างๆ ผู้ประกันตนจะมีส่วนลดมากมายที่อยากให้เกิด”

“แม้กระทั่งผู้ประกันตนไปโรงพยาบาล ไปถึงเขามองเราเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง เราจะทำยังไงให้เขาบริการที่ดีกว่า เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะ”

“นี่คือสิ่งที่จะต้องคิดนอกกรอบ ผมก็เตรียมตัวที่จะคุยกับโรงพยาบาลต่างๆ ว่าประกันสังคมได้จ่ายเงินให้คุณเร็วขึ้นกว่าเดิม ดอกเบี้ยลดลง เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณจะทำห้องดีๆ ให้ผู้ประกันตน สร้างเลานจ์ให้ มีที่เฉพาะนั่งรอดูโทรทัศน์ มีน้ำส้มดื่ม”

“ผมอยากจะยกระดับผู้ประกันตนให้มีความรู้สึกว่าเขามีสิทธิพิเศษบ้าง ไม่ได้มองเขาเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำไมไม่มองว่า 16 ล้านคนของผู้ใช้แรงงาน เขาคือผู้ขับเคลื่อนประเทศ ผมต้องดูแลคนในครอบครัวใหญ่อันนี้”

“ผมขอเวลา 6 เดือน ทำระบบต่างๆ ให้สมบูรณ์ แล้วผมเชื่อว่าจะมีอะไรตามมาอีกเยอะแยะในยุคของผม ผมก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวผมเอง ผมทำให้ผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกันตน เราไม่ใช่เจ้านายเขาไปชี้นิ้วสั่งเขา เรามาจากนักการเมือง มันเป็นตัวแทนประชาชน”

“แล้วเชื่อผมเถอะ ผมคิดว่าประเทศไทยจะเนื้อหอมที่สุดในโลกหลังจากนี้”