สื่อคือเป้าหมายปฏิรูปเพื่อถอยหลัง : ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

นับจากการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อหยุดประชาธิปไตย และเข้าสู่ห้วงแห่งการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง คือ ยังไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งง่ายๆ แต่จะต้องจัดการปฏิรูปกับหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นเป้าหมาย ให้ตกอยู่ในมือกลุ่มอำนาจให้เรียบร้อยเสียก่อน

หลังจากปฏิรูปนักการเมือง พรรคการเมือง และวางกฎกติกาตีกรอบรอบด้าน ผ่านทางรัฐธรรมนูญ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีล่วงหน้าแล้ว

จากนั้นก็ยังพยายามจะปฏิรูปเป้าหมายต่างๆ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง โดนต่อต้านตอบโต้เป็นที่อลหม่าน

“ล่าสุดก็มาถึงคิว สื่อมวลชน”

ด้วยการผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท.

“แต่ร่าง พ.ร.บ. นี้ สำหรับวงการสื่อมวลชนแล้ว ต้องเรียกว่า กฎหมายควบคุมสื่อ หรือปิดปากสื่อ”

โดยประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ ให้มีการจัดตั้ง”สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” มีอำนาจขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนในอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนและรับคำร้องอุทธรณ์ในกรณีผู้เสียหายอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากองค์กรวิชาชีพ

ไม่เท่านั้น กรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งมีสัดส่วนจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้งมีปลัดกระทรวง 4 คนเข้ามานั่งอยู่ด้วย แม้ต่อมาเมื่อมีเสียงค้านกันมาก ก็พยายามลดจำนวนปลัดลงไป รวมไปถึงอ้างว่าจะกำหนดให้มีวาระแค่ไม่กี่ปี

“แต่ถึงที่สุดก็คือ เป็นการกำหนดให้มีข้าราชการระดับสูงของรัฐ เข้ามามีอำนาจหน้าที่ในการคุมสื่อมวลชน”

นี่จึงเป็นเหตุให้สื่อพร้อมใจกันลุกขึ้นต่อต้านร่าง พ.ร.บ.โซ่ตรวนนี้อย่างเป็นเอกภาพ

เพราะแค่การให้มีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ก็จะเริ่มจับสื่อมวลชนมาตีทะเบียน

“เพียงแค่เริ่มต้นก็คือ ทำลายหลักแห่งความเป็นอิสระเสรี ของผู้ที่เดินเข้ามาทำวิชาชีพนี้แล้ว!”

ขณะเดียวกัน เมื่อสภาวิชาชีพดังกล่าว มีอำนาจในการออกและเพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ คือ การเปิดช่องทางให้ฝ่ายรัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อได้อย่างเต็มที่

ชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังจะถอยหลังย้อนยุคอย่างขนานใหญ่ เมื่อรัฐจะเข้ามาแทรกแซงและควบคุมสื่อได้อย่างถนัดถนี่ที่สุด

ขัดแย้งทั้งหลักแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน ที่จะต้องอยู่กับความมีเสรีภาพในการแสวงหาข้อมูลและนำเสนอข่าวสาร เพื่อเป็นปากเสียงให้ประชาชน

“ไปจนถึงขัดกับโรดแม็ปที่ว่า เรากำลังจะกลับสู่ประเทศประชาธิปไตยปกติในอีกไม่นานนัก เพราะประเทศประชาธิปไตย ไม่มีใครควบคุมสื่อและแทรกแซงสื่อได้เช่นนี้”

ประเทศที่ควบคุมสื่อคือประเทศที่ปกครองด้วยเผด็จการทหาร หรือรัฐสังคมนิยม เช่น จีน เกาหลีเหนือ

ประเทศที่ไร้เสรีภาพสื่อมวลชน จะส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เพราะไม่มีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน เพื่อพินิจพิเคราะห์เอง แต่จะต้องรับฟังข่าวสารตามที่รัฐกำหนดให้เท่านั้น

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากกฎหมายด้านคอมพิวเตอร์ ที่ออกในยุคปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็พบว่ามีความพยายามจะปิดกั้นโลกออนไลน์ คล้ายกับที่รัฐเผด็จการใช้ระบบซิงเกิลเกตเวย์ ปิดกั้นเสรีภาพโลกอินเตอร์เน็ต

ทั้งหลายทั้งปวง นี่คือหนึ่งในการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

ปฏิรูปเพื่อคุมสื่อ นำประเทศให้ถอยหลังในด้านเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ไปจนถึงการตรวจสอบรัฐและวิพากษ์วิจารณ์รัฐ

กรณี นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความไม่พอใจต่อการเสนอข่าวของเว็บไซต์ข่าวสด ในเหตุการณ์ฝนตกน้ำรั่วจนฝ้าเพดานในห้องเรียนนักศึกษาธรรมศาสตร์พังถล่มลงมา

โดยนายสมคิดระบุว่าขณะนั้นไม่มีนักศึกษาอยู่ในห้องเรียน การเสนอข่าวว่านักศึกษาหวิดดับ จึงไม่ถูกต้อง

“ลงเอยนำไปสู่ข้อเรียกร้องที่ว่า “ผมสนับสนุนว่าควรมีองค์กรควบคุมสื่ออย่างยิ่ง””

หลายคนฟังแล้วก็หัวเราะกลิ้ง ระดับอธิการบดีสนับสนุนการควบคุมสื่อ โดยอ้างเหตุเสนอข่าวฝ้าเพดานถล่มนี่นะหรือ

“แทนที่จะยกข้ออ้างในระดับโครงสร้างประเทศ กลับมาหยิบเอาเรื่องโครงหลังคาฝ้าเพดานมาหาเหตุให้ควบคุมสื่อ!”

อีกทั้งข่าวนี้ก็ไม่ได้บิดเบือนอะไร เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มีคลิปเผยแพร่ไปทั่ว ขัดกันแค่มุมมองที่ว่า มีนักศึกษาหวิดดับจริงหรือไม่

ทั้งนี้ อาจารย์สาวตรี สุขศรี ก็ได้ออกมายืนยันในฐานะที่ขณะเกิดเหตุนั้น “เป็นวิชาของเราเอง” ซึ่งมีนักศึกษาเข้าไปนั่งรอเรียนก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อมีการย้ายห้องเรียนและมาเกิดเหตุต่อจากนั้น เหล่านักศึกษายังกล่าวกันว่าโชคดีมาก ถ้าหากยังอยู่หรือกำลังเดินผ่านจุดที่ฝ้าเพดานถล่มลงมาจริงก็ต้องเกิดอันตรายแน่นอน

จึงไม่ถือว่าสื่อเสนอข่าวเกินจริง

“ทั้งอาจารย์สาวตรี ยังตั้งข้อสังเกตว่า แทนที่อธิการฯ จะแสดงความห่วงใยความปลอดภัยของเด็กและอาจารย์ที่กำลังจะมีการเรียนการสอนในห้องนั้น และรีบเร่งสั่งการแก้ไข…กลับมานั่ง “ฉวยโอกาส” เอาข่าวนี้มาเขียน “สนับสนุนการคุมสื่อ””

แม้ว่าจะดูเหมือนศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์สมคิดหยิบยกเรื่องอะไรก็ไม่รู้เพื่อจะมาสนับสนุนการควบคุมสื่อ ถือว่าไร้เดียงสา ไร้ราคา

แต่มองอีกด้านจะพบว่าศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์ผู้นี้ มีบทบาทยืนข้างไหนอย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนเกิดม็อบนกหวีดเพื่อชัตดาวน์ อันนำไปสู่การทำทุกทางเพื่อให้ประชาธิปไตยต้องหยุด เพื่อเข้าสู่ยุคปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

ดังนั้น การรีบร้อนเอาเรื่องฝ้าเพดานมาเรียกร้องให้ควบคุมสื่อ

อาจจะสะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของคนกลุ่มนี้ว่า

สื่อจะต้องถูกปฏิรูป จะต้องถูกควบคุม เพื่อปูทางให้การเมืองไทยที่จะต้องอยู่ในสภาพถอยหลังไปอีกยาวนาน 20 ปี ถอยหลังได้อย่างราบรื่น ไม่ถูกเสรีภาพแห่งข่าวสารมาเป็นอุปสรรค!

เมื่อมีเสียงเรียกร้องจากวงการสื่อ ไม่ยอมรับร่าง พ.ร.บ.โซ่ตรวนนี้ จะพบว่ากลุ่มที่กุมอำนาจบางคน พยายามเล่นบทประนีประนอม ยอมรับว่ากฎหมายจะไปคุมสื่อมากไม่ได้ แต่ก็ไม่ลืมตั้งคำถามว่า แต่สื่อก็ต้องแสดงให้เห็นชัดเจนว่า จะสามารถควบคุมกันเองได้

พยายามทิ้งปมที่ว่า ถ้าไม่ให้กฎหมายนี้มาคุมสื่อ แล้วใครจะคุมสื่อ และสื่อควรต้องคุมกันเองให้ได้ใช่หรือไม่

อันที่จริงแล้ว สื่อมวลชนไทยอยู่สังคมไทยมาแล้วยาวนาน มีสื่อที่อยู่ได้ยั่งยืนเป็นสื่อหลักสื่อมาตรฐาน และสื่อที่อยู่ไม่นาน ล้มหายตายจากไปก็มาก

หลักง่ายๆ ก็คือ ประชาชนผู้บริโภคสื่อนั่นแหละ คือผู้ชี้ขาดว่า ฉบับไหน สำนักไหน ควรสนับสนุน หรือควรปฏิเสธ

“การปิดกิจการของสื่อที่มีมาเรื่อยๆ เป็นเครื่องบ่งบอกอยู่แล้วว่า ประชาชนคือผู้ควบคุมสื่อที่ชัดเจนที่สุด!”

พิจารณาง่ายๆ ว่า สื่อมวลชนที่อยู่มายาวนานและยังมั่นคงอยู่ได้ ล้วนเป็นสื่อที่มีมาตรฐานในการทำงาน มีหลักจรรยาบรรณในการเสนอข่าว และผู้สื่อข่าวยึดในจริยธรรม

สงสัยกันไปทำไมว่า ใครควบคุมสื่อ

“ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ถ้าไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนซื้อหนังสือพิมพ์ ไม่มีคนคลิกเข้ามาในเว็บ แล้วสื่อนั้นจะอยู่ได้อย่างไร!?”

ขณะเดียวกัน สื่อไทยก็มีองค์กร เช่น สภาการหนังสือพิมพ์ฯ สมาคมนักข่าวฯ ทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่เป็นปกติ

แต่ไม่จำเป็นจะต้องมีอำนาจในการลงโทษใดๆ

“เพราะระบบที่ให้อำนาจลงโทษสื่อ ระบบนั้นนั่นแหละจะกลายเป็นเครื่องมือให้รัฐเข้ามาแทรกแซงเมื่อไรก็ได้”

ถ้าสื่อไม่มีเสรีภาพ สื่อก็จะทำหน้าที่ตามที่รัฐต้องการ นำเสนอข่าวเฉพาะที่รัฐให้นำเสนอ ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบรัฐได้ นั่นคือทำลายสิทธิประชาชนเจ้าของประเทศ

ความพยายามของกลุ่มคนคิดล้าหลัง ที่เริ่มต้นล้มประชาธิปไตยและกำลังจะสร้างสังคมไทยให้ย้อนยุค กำลังรุกล้ำเข้ามาสู่แวดวงสื่อ

นี่เป็นประเด็นใหญ่ ที่กำลังจะชี้ว่าเราจะเดินไปสู่ประชาธิปไตยจริงๆ หรือกำลังจะถอยไปเป็นรัฐเผด็จการแอบแฝง!?!