คุยเรื่อง “การเมือง-ครอบครัว-ธรรมะ-ความอยุติธรรม” กับ “ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช” (มีคลิปสัมภาษณ์พิเศษ)

นอกจากจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับความเสื่อมของสังคม ในกรณี “โชว์นมโป๊เปลือย-ไลฟ์สดแก้ผ้า” เกลื่อนโลกออนไลน์แล้ว

หลายคนคงลืมนึกไปว่า “ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช” เคยเป็นทั้ง ส.ว.เลือกตั้งยุคแรก และมีบทบาทเป็นภรรยาอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่-นักการเมือง ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

จนพอจะกล่าวได้ว่า “ระเบียบรัตน์” กับ “การเมือง” เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมาอยู่ตลอด แม้แต่ลูกของเธอก็เข้าสู่สนามการเมืองเช่นกัน

เมื่อถามถึงมุมมองที่มีต่อการเมืองไทย ณ เวลานี้ ระเบียบรัตน์ออกตัวก่อนว่าตลอดช่วงชีวิต 66 ปี ที่ได้ไปเที่ยวมาหลายแห่ง ไม่มีที่ไหนจะมีความสุขเท่าประเทศไทย

แต่สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือ ทุกคนต้องช่วยกันดูแลบ้านเมือง อย่าให้บ้านเมืองผอมลงด้วย “โรค”

โรคที่ว่าคือ “โรคร้ายนานาชนิด” โดยมีโรคที่สำคัญที่สุดคือ “โรคแห่งความอยุติธรรม” “โรคของความเหยียดหยามดูหมิ่นชาติพันธุ์” หรือการไม่ให้โอกาสซึ่งกันและกัน

การแก้ไขปัญหาเหล่านั้นมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องที่เราจะต้องมีระบบการปกครองแบบนั้นแบบนี้ เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ในระบบแบบไหน แต่หัวใจของความยุติธรรมและไม่ดูถูกกันจะต้องมีอยู่เสมอ

ส่วนตัวระเบียบรัตน์เชื่อว่าเราทุกคนกำลังจะก้าวไปสู่ “สิ่งดีๆ” แม้ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เราวางไว้ว่าจะต้องมีเลือกตั้งตอนโน้นตอนนี้อาจจะขยับๆ เลื่อนๆ ออกไป แต่ตนก็วาดหวังว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองแน่นอน

“แค่อย่าไปคิดลบกับใครเลย ทุกคนต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด อย่าไปโทษคนอื่น อย่าไปตำหนิคนอื่นเขา ให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่เป็นภาระสังคม ไม่ไปก้าวก่ายใคร ถ้าทุกคนมีจิตสำนึกสาธารณะสูงขึ้น แล้วสังคมจะเดินไปได้

“แต่ยังไงก็เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นในสังคมไทย ที่สำคัญอย่ามัวแต่ไปคิดว่าคนนั้นเป็นฝ่ายโน้นฝ่ายนี้”

ระเบียบรัตน์กล่าวต่อว่า การปกครองมีหลายระบบ แล้วแต่ว่าเราจะชอบระบบไหน ระบบของเผด็จการการยึดอำนาจ ก็ยังมีคนเชียร์คนชอบ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนแห่เอาดอกไม้ไปมอบให้กับทหาร มอบให้กับรถถัง

แต่เธอย้ำว่า ไม่ว่าจะปกครองระบบไหน ขอให้มี “ความยุติธรรม” อย่ามีอคติ อย่าเหยียด อย่าเห็นบุคคลอีกฝ่ายด้อยกว่ากันเยอะมาก มิฉะนั้น “มันจะอยู่ไม่ไหว”

“ยอมรับว่าสถานการณ์เวลานี้ ที่ห่วงมากที่สุด คือไม่รู้จะพูดดีหรือไม่ จะพูดออกสื่อได้หรือเปล่า แม่แดงมีลูกชายที่เป็นนักการเมือง ยอมรับว่าห่วงลูกมากค่ะ

“เขาอายุแค่ 37 ปี เป็น ส.ส. มาแล้ว 3 สมัย แล้วเขาจะต้องอยู่ดูแลประเทศไทยต่อไปอีกนานแสนนานตราบชั่วอายุของเขา เพราะพ่อแม่ตั้งเป้าหมายให้เขาอยู่กับประชาชนอยู่ตลอด ถ้าพูดไปเดี๋ยวคนเขาก็หมั่นไส้อีก ไม่น่าพูด ว่าอยากให้เขาเดินสู่ทิศทางการเมืองที่สูงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ตอนนี้ช่วงว่างเว้น เขาก็ไปเรียนหนังสือ ไปเรียนปริญญาเอก เราก็อยู่ไปตามสภาพที่เราจะทำได้ แต่ที่เราทิ้งไม่ได้คือประชาชน เราให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ประชาชนก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน มันก็อยู่ได้ด้วยกำลังใจเนี่ยแหละ”

ระเบียบรัตน์พูดถึง ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช บุตรชาย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น

คนทั่วไปอาจมองว่าระเบียบรัตน์เป็นคนดุ ดูแล้วผู้หญิงคนนี้น่ากลัว ก้าวร้าว แรง ตรง

ขณะที่เธออธิบายประเด็นนี้ว่า “เวลาเราพูด เราตอบตรง ตอบจริง เหมือนความจริงใจมันสูง เวลาพูดในประเด็นต่างๆ หน้าตามันออกมาหมด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะหน้าตาเรามันโหดร้ายอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนใจดี

“หลายคนไม่รู้ว่าอยู่ที่บ้าน ท่านเสริมศักดิ์ (สามี) ท่านเป็นนักปกครอง มีลูกศิษย์เยอะ ของกินผลไม้ขนมมันก็มีเยอะ ก็จะมีมาตลอด เราก็จะมีเวลาไปปฏิบัติธรรมโดยขับรถไปเอง ไปเจอคนขอทาน เจอผู้สูงอายุ คนหาเช้ากินค่ำเก็บขวดขาย เจอพวกนักโทษชั้นดีไปลอกท่อ ก็จะแวะเอาของเหล่านี้ไปมอบให้เขา

“มุมนี้อาจจะมีคนไม่รู้จักเรา เพราะเขาจะติดภาพอีกมุม เห็นในสื่อดุโหด แต่ต้องบอกว่าส่วนตัวไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ (เรื่องโป๊เปลือย) เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล

“”ไปหนักอะไรกับหัวคุณระเบียบรัตน์” เขาด่าขนาดนั้นเลยนะ “ยัยไดโนเสาร์” “ป้าได” ในใจนึกดีใจ นึกว่า “ไดอาน่า” ปรากฏว่าไดโนเสาร์

“คือเราไม่อยากไปยุ่งเรื่องสิทธิ แต่ทีนี้มันเรื่องสถาบันผู้หญิงที่เราพูด เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี อยากให้ลูกมีคุณค่า ณ วันนี้ เราพลาดในขณะอายุแค่ 20 กว่าๆ ทำตัวเองหมดคุณค่าแล้ว ถ้าเราทำตัวแบบนี้ แต่ผู้ชายไทยน่ารักที่สุด จะให้แม่แดงไปมีสามีเป็นชาติอื่นเราก็คงไม่เลือก!”

เมื่อสอบถามว่าถูกตั้งฉายาว่า “ป้าได” อย่างนี้ ระเบียบรัตน์ใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่บ้างหรือไม่?

“ถ้าจะพูดก็คงไม่เชื่อ มีหลายคนก็โกรธที่ขอ (แอด) ไลน์ อยากมาเป็นเพื่อนแล้วไม่ตอบรับ บางคนเห็นไลน์เรา คือมีคนมาทำให้ สารภาพว่าเล่นไลน์ไม่เป็น

“แต่เวลาดูคลิปฉาว (จาก) โลกโซเชียลมีเดีย ก็ได้รับทราบจากข่าวสารตลอด มีคนมาถาม หรือเดี๋ยวนี้สื่อต่างๆ ก็มีข่าวเรื่องราวแบบนี้แถมๆ มาเกือบทุกช่อง ก็อาศัยติดตามข่าวสาร” ระเบียบรัตน์เฉลยคำตอบ

เมื่อถามต่อว่า คนดังหลายราย เช่น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และ ลีน่าจัง ต่างขยันไลฟ์สดจัดรายการในโซเชียลมีเดีย ระเบียบรัตน์สนใจจะทำแบบนั้นบ้างหรือไม่?

เธอบอกว่าตั้งใจจะทำงานให้กับสังคมจนกว่าจะหมดลมหายใจ แต่จังหวะและโอกาสอาจจะไม่มีความสม่ำเสมอ เพราะตอนนี้หันไปปฏิบัติธรรมมากขึ้น ทั้งยังต้องช่วยงานในพื้นที่ของลูกชาย

“ถ้าพูดได้ ก็อยากจะพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม รวมทั้ง (เรื่อง) บทบาทสตรี ทุกวันนี้ก็มีความสุขได้ดูแลลูกหลาน ส่วนตัวเองก็เป็นผู้สูงอายุ ก็ดูแลคนสูงอายุคนหนึ่งวัย 70 เศษๆ (คือ) ท่านเสริมศักดิ์ ก็อยู่กัน ดูแลกันให้ดีที่สุดของวาระสุดท้ายของแต่ละคน

“ชีวิตจริงๆ ก็ไม่มีอะไร ลาภยศสรรเสริญมันก็เอาไปไม่ได้ มันว่าง มันสงบ มันมีความสุขแล้ว เดินสายธรรม-วิปัสสนาก็มีความสุขแล้ว

“หลายคนชอบมาถามว่าทำไมไม่ทำนั่นทำนี่ อาทิ ให้ไปเป็นนายหน้าขายที่ดิน เพราะเราเป็นถึงเมียผู้ใหญ่ มีคนรู้จักมากมายขนาดนี้ แค่อ้าปากบอกใครก็ได้เปอร์เซ็นต์แล้ว

“ต้องบอกว่าในชีวิตนี้ ถ้าว่างก็จะไปวัด ชาวบ้านมาขอให้ช่วยงานอะไรที่เป็นงานบุญไปหมด ไม่เคยปฏิเสธ แต่ถ้าไปเจอประเภทให้ไปเปิดงาน โอ้โห!! มีเต้นประเภทนุ่งน้อยห่มนิด แม่แดงก็จะบอกไปตรงๆ ว่าอย่าเชิญมางานแบบนี้อีก

“ก็ต้องขอโทษลูกๆ ที่ทำอาชีพแบบนี้ด้วย เพราะแม่แดงรับไม่ค่อยได้ สงสารผู้หญิงเรา สถาบันผู้หญิงเราที่ถูกข่มขืนทางสายตา

“สงสารพระเจ้าด้วยที่คนเหล่านี้ไปเล่นในวัด เขาก็อดดูไม่ได้ กิเลสมันมาถึงหูถึงตาแล้ว ถ้าดูเพื่อปลงก็โอเค แต่จะปลงได้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นปัญหาสังคมเกี่ยวกับพระมากมาย

“แต่เมื่อเราทำบุญแล้วอย่าไปคิดอะไรมาก แล้วใจเราจะเบิกบาน ไม่ต้องไปคิดเลยว่าท่านจะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ส่วนตัวเคยลุยจับพระปลอมมาหลายรูปแล้ว ประเภทไปขอเงินตามร้านอาหาร มีลูกนิมิตใส่รถ ไปเดินขอ วนไปทั่ว แจ้งตำรวจให้จับ จะบาปตรงนี้ก็ยอมค่ะ

“เหมือนเราปราบสามีอยากมีเมียน้อย เรายอมทำบาปเพื่อไม่ให้ไปมีเมียน้อย เราก็ยอมเพราะมันตกต่ำทางศีลธรรม แล้วลูกของเราจะกราบไหว้พ่อตัวเองแบบสนิทใจได้อย่างไร” ระเบียบรัตน์ทิ้งท้าย