ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เป็นพลเมืองของประเทศไทยนี่ต้อง “รู้อยู่” เป็นเบื้องต้นนะครับ
ขืนไปซีเรียส ไปเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง
ปัญหายังไม่ทันแก้ไข โรคประสาทจะถามหาเอาเสียก่อน
ไม่เชื่อก็ลองดูข่าวที่โถมถั่งกันเข้าเป็นระลอกในช่วงนี้
เริ่มจาก “หมุดหน้าใส”
ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่า “หมุดคณะราษฎร” ชิ้นเดิมนั้น ใครมาถอนไป เอาไปอยู่ที่ไหน
ชาวบ้านไม่รู้ยังไม่เท่าไหร่
แต่รัฐบาลและหน่วยราชการพร้อมใจกันหลับหูหลับตาไปด้วยกันหมด
ถ้าเป็นวัยรุ่นหน่อย เขาก็อาจจะตั้งคำถามด้วยศัพท์ยอดฮิตว่า
“รัฐบาลมีไว้ทำไม”
ความบนบกยังไม่ทันหาย ความใหม่ใต้น้ำก็แทรกเข้ามา
อยู่ๆ การอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำที่เป็นความลับระดับ “มุมแดง”
ก็เกิดไม่ลับขึ้นมาเสียดื้อๆ อย่างนั้น
พอไม่ลับก็มีคำถามตามมา
พอคำถามอื้ออึงมากขึ้น ท่านผู้มีอำนาจวาสนาก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาเสียอีก
ถึงตอนท้ายจะโยนเรื่องกลับไปให้ต้นทางอย่างกองทัพเรือเป็นผู้แถลง
ความสงสัยก็ยังไม่สิ้น
เพราะประเด็นที่ชาวบ้านสงสัยนั้นอยู่เกินอำนาจหน้าที่ที่กองทัพเรือเขาจะตอบได้
เช่น กาลเทศะในการจัดซื้อ
หรือการจัดสรรความสำคัญของการใช้งบประมาณ
ในโลกยุคใหม่ที่คำถามคำตอบและข้อมูลทั้งหลายถูกบันทึกเอาไว้ใน “ดิจิตอล แพลตฟอร์ม”
ค้นง่าย งัดขึ้นมาตั้งคำถามใหม่ได้ง่าย
ท่าทางจะต้องดำน้ำกันต่อไปอีกหลายอึดละครับ
ไล่เลี่ยกันก็เกิดปัญหาในกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้คนทั่วไป “อึดอัดคับข้อง” มากขึ้น
เป็นกรณีเปรียบเทียบระหว่าง
ลูกมหาเศรษฐี ผู้ต้องหาในคดีขับรถชนคนตาย
6 ปีแล้วคดีก็ยังไม่ไปไหน
ยังสั่งฟ้องไม่ได้เพราะแจ้งมาตลอดว่าอยู่ต่างประเทศ
อยู่ๆ ก็มีข่าวว่า หนึ่งวันก่อนอัยการจะตัดสินใจสั่งฟ้อง และสามวันก่อนออกหมายจับ
เขาเพิ่งเดินทางออกจากประเทศไทย
กับกรณีสองสามีภรรยาที่ถูกสั่งฟ้องในข้อหาตัดไม้ทำลายป่า
ไม่เรียกว่า “คดีเก็บเห็ด” ให้แสลงใจใครก็ได้
และไม่ก้าวล่วงคำพิพากษาที่มาถึงชั้นฎีกาแล้วก็ได้
แต่ถามจริงๆ เถอะครับว่า คนที่ออกมาตีวัวกระทบคราดเรื่องนี้-คือบอกว่าสองสามีภรรยานั้นผิดจริง ในข้อหาตัดไม้ทำลายป่า
เพื่อจะด่ายาวไปถึงสื่อหรือคนที่ออกมาทวงถามความเป็นธรรมให้
เอาเข้าจริงแล้วเคยอ่านคำพิพากษา และคำให้การในคดีนี้โดยละเอียดไหมครับ
เชื่อทันทีเลยใช่ไหมครับว่า สองคนผัวเมียสามารถตัดไม้ 72 ไร่ 1,148 ท่อน มูลค่า 5 แสนกว่าบาทได้เอง
ได้อ่านไหมครับที่ศาลท่านเขียนว่า
“ตามพฤติการณ์แห่งคดี เชื่อได้ว่าบุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง ยังมิได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมมาดำเนินคดีทั้งหมด
คงมีจำเลยทั้งสองเท่านั้นที่ยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปและสมัครใจรับสารภาพ”
จึงลดโทษให้
และถ้าคิดว่าคดีนี้ลากยาวมาร่วม 10 ปี
ถามว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ว่าตำรวจหรือป่าไม้
หาตัวได้หรือยังว่าใครคือกลุ่มนายทุน ที่มีผลประโยชน์โดยตรง
ซึ่ง
“ยังมิได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมมาดำเนินคดีทั้งหมด”
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คำพิพากษาเท่านั้น
ยังอยู่ที่ “โอกาส” ในการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องตัวเองของผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจต่างกันในสังคมด้วย
ว่ามันต้องมีอะไรพิกลพิการอยู่แน่ๆ
และสุดท้ายนี้คือกรณี พ.ร.บ.ควบคุมสื่อ
เขาจะตั้งชื่อว่าอย่างไรไม่ทราบละครับ แต่ที่เรียกอย่างนี้ เพราะเสนอกฎหมายเขาก็อภิปรายว่าสื่อนี่ต้อง “ควบคุม” ให้ได้
ไม่เชื่อลองไปย้อนเปิดเทปการอภิปรายของ สปท. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ก่อนจะลงมติผ่านร่างกฎหมายดู
ที่องค์กรสื่อ 30 องค์กรไปยื่นหนังสือนายกรัฐมนตรี
แล้วท่านบอกว่าจะรับฟังทั้งสองทาง นี่ต้องฟังท่านนะครับ
ท่านจะไม่ฟัง สปท. ได้ยังไง ในเมื่อตั้งมากับมือ
จะไม่ฟังเพื่อนร่วมรุ่นที่อยากเอาสื่อไป “ยิงเป้า” หรือ
สื่อยังไม่เตรียมใจไว้อีกหรือครับ