โล่เงิน | คดีบอส เขย่า ตร.-อัยการ ภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ 3 หมายจับ หวังฟื้นศรัทธา

จากคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตอกย้ำข้อกังขาคนทั่วไปว่าคดีดังกล่าวถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง และจากอิทธิพลของกลุ่มนายทุน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นยิ่งเป็นตัวกระตุ้นลดวิกฤตศรัทธาขององค์กรตำรวจให้หดหายลงไปทุกที

เมื่อโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบความผิดพลาดการทำงาน ในกระบวนการที่ถูกเรียกว่าเป็นต้นธารยุติธรรมทั้งตำรวจและอัยการมาสืบสาวราวเรื่อง หาต้นตอ เหตุใดนายวรยุทธจึงหลุดคดี

จุดเปลี่ยนคดีนี้ เริ่มจากกระบวนการสอบสวนชั้นพิจารณาพนักงานอัยการตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2556 – 20 มกราคม 2563

ในชั้นนี้ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2556 จนทำให้อัยการอาญาใต้ฯ มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมถึง 10 ครั้ง

ซึ่งพยานที่อัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติมเป็นผู้ให้ปากคำชั้นพนักงานสอบสวน จำนวน 4 ปาก เป็นพยานเพิ่มเติมชั้นอัยการ 16 ปาก

โดยพยานแทบทั้งหมดล้วนให้คุณแก่นายวรยุทธ

มีเพียง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ.4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ที่เป็นพยานปากเดียวเรื่องความเร็วของรถที่จะสามารถเอาผิดกับบอสในข้อหาขับรถเร็วได้

แต่ท้ายที่สุด พ.ต.อ.ธนสิทธิ์กลับคำให้การ จนทำให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง และตำรวจไม่แย้ง

กระทั่ง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ไปให้การกับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างว่า ได้รับแรงกดดันจากผู้บัญชาการระดับสูง จนต้องกลับความเห็นความเร็วรถจาก 177 เหลือ 79.22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แต่เมื่อพบความผิดพลาดการคำนวณ 40 เปอร์เซ็นต์ จึงพยายามขอแก้ไขในสำนวนแต่ไม่ทัน

มีการพาดพิงกล่าวหา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. พานายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือมาคำนวณความเร็วรถใหม่ และใช้ห้องทำงาน พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง (ผบช.พฐก.) ขณะนั้นเป็นที่หารือคดี

โดย พล.ต.อ.มนูให้ข้อมูลกับ กมธ.กฎหมายฯ ระบุว่ามีการพบกันในห้องประชุมของ พฐก. จริง แต่ พล.ต.อ.สมยศไม่ได้เดินทางมาด้วย และย้ำว่า ไม่มีใครก้าวก่ายแทรกแซงในคดีนี้ พร้อมยืนยันไม่รู้จักนายสายประสิทธิ์มาก่อน

ส่วน พล.ต.อ.สมยศได้เข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการชุดนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน ระบุว่า ที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์อ้างว่า พล.ต.อ.สมยศได้พานายสายประสิทธิ์มาพบในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 นั้น เขาไม่ได้อยู่ประเทศไทย แต่ไปประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์ และได้มอบเอกสารหลักฐานให้คณะกรรมการด้วย

เหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนพร้อมใจกันเท พ.ต.อ.ธนสิทธิ์

ส่วนประเด็นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาการทำสำนวนนั้น พบความบกพร่องตำรวจรวมทั้งสิ้น 20 นาย มียศตั้งแต่ พล.ต.ท.-พ.ต.อ. บางรายเกษียณไปแล้ว โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาโทษทางวินัย-อาญา แต่ละรายมีความบกพร่องลดหลั่นกันไปตามพฤติการณ์ หนึ่งในนั้นมี พ.ต.อ.ธนสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ซึ่งถูกระบุว่า บกพร่องเรื่องกลับคำให้การเรื่องความเร็วรถ จนเป็นจุดพลิกคดี

ขณะที่การเอาผิดกับบอส อยู่วิทยา กระบวนการยุติธรรมยังคงทำหน้าที่ต่อ หวังเรียกศรัทธาคืนจากประชาชน

ล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้เดินทางไปศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อยื่นหนังสือขอเพิกถอนหมายจับนายวรยุทธ ในฐานความผิดขับรถโดยประมาทโดยการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นหมายจับเดิมที่เหลืออยู่ข้อหาเดียว

พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับนายวรยุทธ ในฐานความผิดขับรถโดยประมาทโดยการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อายุความ 15 ปี จะหมดอายุความ 3 กันยายน 2570

เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) โดยผิดกฎหมาย อายุความ 10 ปี หมดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2565

และข้อหาขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที หมดอายุความเมื่อ 3 กันยายน 2560

ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพนักงานอัยการจะสั่งฟ้องข้อหานี้ไม่ได้แล้ว

สําหรับการขอหมายจับครั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญา มาตรา 147 บัญญัติไว้ “เมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้”

พยานหลักฐานใหม่ มาจากคำให้การของผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนผลการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดที่นำมาจากผู้เชี่ยวชาญ หลังจากนี้จะต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เพื่อให้มีความเห็นพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ ก่อนจะมีการออกหมายแดง และส่งกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ทำเรื่องส่งต่อไปยังตำรวจสากล เพื่อติดตามตัวนายวรยุทธมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธบอกว่า พยานปากสำคัญคือ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ อดีตทีมพิสูจน์ความเร็วรถ ขณะนี้เป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่หาเจอยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ที่ผิวน้ำ และมั่นใจกระบวนการค้นหาความจริง เพราะเชื่อว่าอาชญากรรมต้องทิ้งร่องรอยไว้เสมอ พร้อมสำทับว่าความยุติธรรมที่ล่าช้า กลายเป็นความอยุติธรรมในที่สุด

วันนี้เริ่มเห็นเค้าลางคนกลับดำเป็นขาว สังคมฝากความหวังไว้ที่คณะกรรมการชุดนายวิชาจะทำคดีบอส อยู่วิทยา ให้มีความกระจ่าง เรียกความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมคืนกลับมา

ส่วนการออกหมายจับบอส อาจสามารถลดทอนกระแสสังคมได้ระยะหนึ่ง แต่หากไม่สามารถนำตัวมาลงโทษ ปล่อยให้หมดอายุความเหมือน 8 ปีที่ผ่านมา

วลีที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” นั้นยังคาใจคนไทยเสมอ