ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม - 3 กันยายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
วันที่ 4 สิงหาคม ผ่านเวลา 18.00 น. ไปได้ไม่นาน เกิดเหตุไฟไหม้โกดังที่ท่าเรือกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน นักดับเพลิง 10 นายถูกส่งลงพื้นที่หลังจากได้รับแจ้งเหตุ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ามีสาร “แอมโมเนียมไนเตรต” ที่ถูกเก็บมานานกว่า 7 ปี กำลังรอการระเบิดครั้งใหญ่
คลิปวิดีโอที่บันทึกภาพเหตุการณ์จากโทรศัพท์มือถือ เผยแพร่ภาพความน่าพรั่นพรึงของระเบิดที่ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกทำลายล้างบ้านเรือนเป็นรัศมีหลายสิบกิโลเมตร
มีผู้เสียชีวิตมากถึง 180 คน ในจำนวนนี้คือนักดับเพลิงที่ถูกแรงระเบิดฉีกร่างเสียชีวิตในที่เกิดเหตุในทันที และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 6,000 คน
เวลาผ่านไป 3 สัปดาห์แล้วที่มีการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะผ่านทางสื่อที่เก็บข้อมูลเจาะลึกถึงที่มาที่ไปของ “สารแอมโมเนียมไนเตรต” ต้นตอการระเบิดใน “โกดังหมายเลข 12” จุดที่ในเวลานี้กลายเป็นหลุมกว้าง 200 เมตรที่มีน้ำทะเลไหลเข้ามาท่วมจนเต็ม
กลายเป็นอนุสรณ์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ
ย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน เรือ “โรซุส” เรือสินค้าบรรทุก “แอมโมเนียมไนเตรต” น้ำหนัก 2,755.5 ตัน ล่องจากท่าเรือประเทศจอร์เจียไปยัง “ประเทศโมซัมบิก”
เรือโรซุสที่มีเจ้าของเป็นชาวรัสเซีย ออกนอกเส้นทางด้วยการจอดแวะที่กรุงเบรุตเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 2013 โดยเจ้าของเรือเปิดเผยว่า บริษัทกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิน จึงต้องการหารายได้จากการซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ไปขายต่อ แต่เรือโรซุสมีน้ำหนักเกินพิกัดไม่สามารถขนสินค้าลงเรือเพิ่มได้
ในที่สุดเรือโรซุสไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเรือต่อไปยังปลายทางได้เพราะ “ไม่จ่ายค่าธรรมเนียมท่าเรือ” นั่นส่งผลให้เรือต้องจอดอยู่ที่ท่าเรือดังกล่าวจนถึงปี 2018 ก่อนจะถูกจมลงก้นทะเล
“สารแอมโมเนียมไนเตรต” ที่นอกจากใช้เป็นปุ๋ยแล้วยังใช้เป็นสารตั้งต้นระเบิด ถูกเคลื่อนย้ายออกจากเรือไปเก็บไว้ในโกดังหมายเลข 12 ในเดือนตุลาคม ปี 2014 หลังจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรส่งจดหมายเตือนถึงรัฐบาล รวมไปถึงผู้พิพากษาศาลพิจารณาคดีเร่งด่วน ส่งเอกสารเตือนกระทรวงงานสาธารณะและคมนาคม เลบานอนถึงวัตถุอันตรายที่ลอยอยู่ในท่าเรือกรุงเบรุต
หลังจากนั้นมีคำเตือนจากหลายฝ่ายถึงผู้เกี่ยวข้องในการเก็บแอมโมเนียมไนเตรต ที่เปรียบเสมือนการเก็บระเบิดขนาดยักษ์เอาไว้ในบ้านหลายครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2015 มีรายงานจากผู้เชี่ยวชาญทางเคมี แนะนำให้นำวัตถุอันตรายไปทำลายทิ้งเนื่องจากสภาพกระสอบที่เก็บและตัวแอมโมเนียมไนเตรตเองมีสภาพย่ำแย่มาก
ขณะที่การจัดเก็บก็กองสุมกันจนไม่สามารถนับได้ เสี่ยงที่จะถูกลักลอบนำออกไปใช้ในทางที่ผิด
“กองบัญชาการทหารเลบานอน” มีการสั่งการให้เข้าตรวจสอบระดับไนโตรเจนในโกดังในปีเดียวกันก่อนจะมีผลการตรวจสอบเปิดเผยในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 พบว่าระดับไนโตรเจนสูงถึง 34.7 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในระดับเกินกว่าระดับที่ยอมรับว่าปลอดภัยที่ 11 เปอร์เซ็นต์อยู่มาก
อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการกองทัพไม่ต้องการแอมโมเนียมไนเตรตไปใช้ จึงแนะนำไปให้บริษัทก่อสร้างขุดเจาะภูเขาสร้างถนน ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ปฏิเสธที่จะรับซื้อ เนื่องจากกังวลเรื่องที่มาที่ไป รวมถึงคุณภาพของสารดังกล่าว
สุดท้ายเกิดทางตันขึ้น เมื่อกรมศุลกากรยืนยันว่าได้ส่งคำร้องหลายฉบับ ขอให้ “ศาลคดีเร่งด่วน” เลบานอน ให้อนุญาตให้ขายสารแอมโมเนียมไนเตรตในโกดังออกไป
ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรทั้งคนเก่าและคนปัจจุบันก็ยืนยันว่าไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากศาล
ขณะนักข่าวกลับไปพบเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าศาลได้ตอบกลับคำร้องไปทุกครั้งว่า ศาลไม่มีขอบเขตอำนาจในการตัดสินในเรื่องดังกล่าว และระบุว่า “กระทรวงกิจการสาธารณะ” จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ
รายงานที่เกี่ยวข้องกับสารแอมโมเนียมไนเตรตที่โกดังหมายเลข 12 มีขึ้นในครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสำนักงานความมั่นคงเลบานอน ที่รายงานแจ้งกับ “ประธานาธิบดีมิเชล อูน” ว่า ประตูโกดังหมายเลข 12 บานที่ 9 ได้รับความเสียหาย เสี่ยงต่อการที่จะมีคนขโมยสารเคมีอันตรายไปทำวัตถุระเบิดได้
และเตือนด้วยว่า สารเคมีอันตรายจำนวนมากนั้นอาจทำให้เกิดระเบิดที่จะ “ทำลายท่าเรือได้ทั้งหมด”
ประธานาธิบดีอูน ผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งนับตั้งแต่ปี 2016 ระบุว่า ตนได้ยินเรื่องการเก็บแอมโมเนียมไนเตรตครั้งแรกจากรายงานของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ และได้มีการสั่งการให้หน่วยงานทางการทหารและความมั่นคงทำสิ่งที่ควรทำแล้ว
และอ้างด้วยว่า ตนนั้น “ไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ในท่าเรือดังกล่าว”
เวลานี้การโยนบาปกันไปมาก็ยังคงดำเนินต่อไป พร้อมๆ กับการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นคือผู้อำนวยการการท่าเรือ และอธิบดีกรมศุลกากร
แต่แน่นอนว่าเสียงวิจารณ์ถึงต้นตอหายนะในครั้งนี้มุ่งตรงไปที่การทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์มหาศาลในการท่าเรือ
รายงานระบุว่า ผลประโยชน์ในท่าเรือจะถูกบรรดานักการเมืองไปจัดสรรแบ่งปันให้กับผู้สนับสนุนทางการเมืองที่จะถูกส่งไปนั่งในหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของการท่าเรือที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น อธิบดีกรมศุลกากรเลบานอน ที่ดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นผู้ภักดีต่อประธานาธิบดีเลบานอนคนปัจจุบัน
ผู้อำนวยการการท่าเรือเองก็เป็นผู้ภักดีกับ “ซาอัด ฮาริรี” ผู้นำมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เคยนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเลบานอนอยู่หลายสมัย ยิ่งกว่านั้นยังมีคนของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ และกลุ่มพันธมิตรนำโดย “ประธานรัฐสภาเลบานอน” นั่งในตำแหน่งสำคัญในการท่าเรือด้วย
นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลเลี่ยงที่จะเข้าตรวจสอบ หรือกระทำการที่อาจกระทบผลประโยชน์ของคนในการท่าเรือ และบางครั้งแต่ละหน่วยงานในการท่าเรือเองก็ไม่ร่วมมือกันทำงานเพราะอยู่กันในสายการเมืองคนละขั้ว
สภาพที่เกิดขึ้นทำให้การท่าเรือเลบานอนได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่มีการทุจริตมากที่สุดองค์กรหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการคอร์รัปชั่นอยู่แล้ว ขณะที่ “เจ้าหน้าที่การท่าเรือและศุลกากรของประเทศเลบานอน” ก็ถูกกล่าวถึงในฐานะ “กลุ่มแก๊งมาเฟีย ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยแก๊งมาเฟียที่เข้าสู่ตำแหน่งด้วยกระบวนการเลือกตั้ง”
แม้เวลานี้ต้นตอการระเบิดในครั้งนี้ก็ยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน
แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือภาพสะท้อนให้เห็นว่าการทุจริตที่เกาะกินประเทศ สร้างหายนะให้เกิดขึ้นได้มากมายเพียงใด
กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)
- ลงทะเบียนเข้างาน รับต้นไม้ฟรี (จำนวนจำกัด) ลิงก์ลงทะเบียน
- ลงทะเบียน workshop ฟรี ลิงก์ลงทะเบียน