การศึกษา / น.ร. ‘ผูกโบขาว-ชูสามนิ้ว’ ขอคืนสิทธิตัวเอง

การศึกษา

 

น.ร. ‘ผูกโบขาว-ชูสามนิ้ว’

ขอคืนสิทธิตัวเอง

 

กลายเป็นกระทรวงรับม็อบไปเสียแล้ว สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ต้องรับมือกับม็อบนักเรียน

ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มนักเรียนเลว” “กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทย” ที่มาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตน พร้อมกับเรียกร้องให้ ศธ.จริงจังกับการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรงผม การแต่งกายที่บังคับให้แต่งตามเพศกำเนิดโดยไม่สนใจเพศวิถีหรือความเป็น LGBT+ ของเด็ก หรือจะเป็นเนื้อหาวิชาสุขศึกษาที่มีเนื้อหาไม่ทันสมัย ทันโลก และสร้างความเข้าใจผิดในเรื่องความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น

ท่ามกลางกระแสที่นักศึกษาและประชาชนในกลุ่มที่มีชื่อว่า “คณะประชาชนปลดแอก” ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยแถลงจุดยืน 3 ข้อเรียกร้อง คือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และรัฐบาลต้องยุบสภา บน 2 หลักการ คือ ต้องไม่มีการรัฐประหาร และการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

การลุกฮือครั้งนี้ สร้างแรงกระเพื่อมส่งผลให้ “นักเรียน” ในระดับชั้นมัธยมศึกษาลุกขึ้นมาชูสามนิ้วต้านเผด็จการ ซึ่งการชูสามนิ้ว หมายถึง “เสรีภาพ เสมอภาพ และภราดรภาพ” ระหว่างเข้าแถวหน้าเสาธงเพื่อเคารพธงชาติ หรือการผูกโบสีขาวต้านเผด็จการ ชูกระดาษเปล่าหน้าโรงเรียน เป็นต้น โดยมีการแชร์ภาพผ่านทางสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ “#ผูกโบขาวต้านเผด็จการ” เป็นแฮชแท็กยอดนิยมในทวิตเตอร์ชั่วข้ามคืน!!!

แต่ปฏิกิริยาเมื่อนักเรียนแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองในโรงเรียน กลับถูกครูและผู้บริหารสถานศึกษาห้ามปราม ไม่ว่าจะเป็นการชี้หน้าด่ากลางแถว พร้อมขู่ไล่นักเรียนออก หรือตบนักเรียนที่ถ่ายคลิป เป็นต้น

 

ประเด็นดังกล่าว นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะผู้ดูแลภาพรวมของ ศธ.ทั้งหมด ได้ออกมาเน้นย้ำว่า อยากให้นักเรียนระมัดระวัง ตนเข้าใจดี การแสดงออกอย่างไรก็เป็นสิทธิ แต่อยากให้นึกถึงความละเอียดอ่อนที่ก่อให้เกิดความแตกแยกของสังคม

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ออกมาให้ความเห็นการที่นักเรียนชูสามนิ้ว ว่า เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของเด็ก สิ่งที่ทราบมาจากการรับฟังความคิดเห็นจากเด็กๆ หลายคนบอกบางทีในสถานศึกษามีการบูลลี่กัน ถ้าใครไม่มาจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมชมรม เข้ากลุ่ม บางคนไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วม แต่ถูกบูลลี่ ถูกกีดกัน ขอให้ทุกคนหารือด้วยเหตุและผลก็แล้วกัน

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า การผูกโบสีขาว และชูสามนิ้ว ช่วงเคารพธงชาติ เป็นสัญลักษณ์ของลูกเสือเท่านั้น

 

การเรียกร้องของนักเรียนยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อ “กลุ่มนักเรียนเลว” พร้อมประชาชนกว่า 500 คน ได้มาชุมนุมที่ ศธ. พร้อมปราศรัยสะท้อนปัญหาที่พบในสถานศึกษา

พร้อมจัดกิจกรรม “#เลิกเรียนไปกระทรวง ผูกโบขาว ชูสามนิ้ว เป่านกหวีดไล่ณัฏฐพล” โดยระบุว่า เป็นการออกมาปกป้องอนาคตของชาติ ออกมาปกป้องนักเรียนของเรา ผูกโบขาวให้กระทรวง ชู 3 นิ้ว ร้องเพลงชาติ และเป่านกหวีดไล่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.

โดยนักเรียนได้ออกมาแสดงความอัดอั้นจากการถูกบีบในระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นกฎโรงเรียนนั้นละเมิดกฎ ศธ. และยังละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกด้วย แต่กฎที่โรงเรียนออกกลับละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์

และเมื่อนักเรียนออกมาตั้งคำถาม ออกมาเรียกร้อง กลับถูกครูตำหนิ ว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงที่ไม่ดีให้กับโรงเรียน เราหวังว่านักเรียนจะลุกขึ้นสู้กับอำนาจมืดของโรงเรียน

และหวังว่านักเรียนจะได้รับสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอย่างที่ควรจะได้รับเสียที!!

 

ทั้งนี้ ศธ.ออกมาตอบรับท่าทีของนักเรียนทันที โดยได้ออกหนังสือด่วนที่สุด เรื่อง การเปิดรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นักศึกษา เพื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ถึงหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด

รวมทั้งการปฏิบัติตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 สถานศึกษาได้ดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวตามข้อ 7 แตกต่างกันไปจนเกิดปัญหาต่อนักเรียน-นักศึกษาบางส่วน ซึ่ง ศธ.อยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนรายละเอียดของระเบียบดังกล่าว ทั้งนี้ ในขั้นต้นรัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีนโยบายขอให้งดการดำเนินการตามระเบียบข้อ 7 ไว้พลางก่อน

หลังจากที่นักเรียนออกมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิของตน กลับเป็นประเด็นที่สังคมต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ทางฝั่งที่เห็นด้วย เพราะเห็นว่า ถือเป็นการเรียกร้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นักเรียนซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่งสามารถลุกขึ้นมาเรียกร้องในสิ่งที่เห็นว่าไม่เป็นธรรมได้

ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย มองว่านักเรียนควรมุ่งเน้นการเรียนของตนให้ดี ไม่ควรจะมาสนใจการเมือง หรือเรื่องอื่นๆ และการออกมาเรียกร้องครั้งนี้ดูจะก้าวร้าว

 

ในประเด็นนี้ นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ ศธ. มีการดำเนินการที่มีเป้าหมาย ถือเป็นการปะทะสังสรรค์ทางความคิดของกลุ่มที่ต่างวัย ถือเป็นภาพที่ดี ที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ลงมารับฟังเสียงของเด็กและเยาวชนครั้งแรก และยอมรับกติกาและเงื่อนไขที่เด็กเคยถูกกระทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการต่อแถว เป็นต้น เรื่องนี้ควรเป็นการฝึกฝนประชาธิปไตย และเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ตนมองว่าช่องว่างระหว่างรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และเด็ก ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ ศธ.ไม่ต้องเข้าไปแก้ปัญหาเป็นจุดๆ แต่ควรปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบได้แล้ว

อาจารย์จากรั้วจามจุรีกล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนอยากสะท้อนให้เห็นคือ การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ต้องดำเนินการอย่างจริงใจกับนักเรียนด้วย เพราะถ้าไม่เทใจและไม่จริงใจอาจจะไม่ได้ใจเด็ก และการเปิดเวทีรับฟังจะเป็นแค่การรับฟัง แต่ไม่ได้ยิน และเมื่อรับฟังเด็กแล้ว ศธ.จะมีแนวทางหรือนโยบายอะไรเพื่อตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาของเด็กต่อไป จึงอยากให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจนด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเปิดเวทีซื้อเวลา เพื่อไม่ให้การแสดงออกของนักเรียนนั้นสูญเปล่า

“การชุมนุมของนักเรียนครั้งนี้ บางส่วนมองว่าเด็กก้าวร้าว ขอให้ทำความเข้าใจเด็กด้วย เพราะเด็กถูกกระทำ ถูกอำนาจกดทับ พอมาเข้าร่วมเวทีอาจจะแฝงเรื่องความรุนแรง ก้าวร้าว เพราะได้แสดงออกหลังจากถูกกดดันมานาน การที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ร่วมรับฟังความคิดเห็น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ดังนั้น นักเรียนควรลดความก้าวร้าว ควรแสดงออกทางเหตุผล และตรรกะให้มากขึ้น โดยมุ่งสู่สาระการเรียกร้องว่าต้องการให้ ศธ.แก้ไขเรื่องใดบ้าง การชุมนุมของนักเรียนเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องดี และเป็นการเบ่งบานทางประชาธิปไตย และเป็นต้นกล้าทางประชาธิปไตยของประเทศ”

นายสมพงษ์กล่าว

 

การลุกฮือของ “นักเรียน” ครั้งนี้แม้จะดูเป็นเหมือนคลื่นใต้น้ำที่มีจำนวนน้อย แต่ถ้าคลื่นใต้น้ำเหล่านี้รวมตัวกัน อาจจะทำให้เกิดสึนามิที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนก็เป็นได้

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทุกคนในสังคม จะกลับมาทบทวนเพื่อหาทางออกในการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

           และเปิดพื้นที่ให้เรียนรู้ระหว่างกันเพื่อหาทางออกอย่างสันติวิธี!!


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)