ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
สะตอกับทุเรียนมีรสและกลิ่นแรง ซึ่งแบ่งกลุ่มคนกินออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน คือชอบกับไม่ชอบ ไม่ใช่ชอบธรรมดา หากเป็นชอบถึง “โปรด” นั่นเลย ถ้าไม่ชอบก็ถึงเกลียดเอาเลยนั่น
จำเพาะสะตอนั้นเคยตั้งข้อสังเกตวิธีเลือกแทบจะเป็นสูตรได้เลย คือสะตอดีต้อง
ฝักตรง เม็ดเต่ง เรียงติด
ประเภทฝักบิดฝักงอ เม็ดห่างเม็ดลีบนั้นเป็นสะตอขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่ควรอยู่ในสายตาเอาเลย เว้นแต่ไม่มีให้เลือกแล้วและทนอดไม่ได้เอาจริงๆ
สะตอมีสองชนิดคือ สะตอดานกับสะตอข้าว สะตอดานหรือสะตอกระดานจะฝักใหญ่ เม็ดใหญ่ ส่วนสะตอข้าวจะฝักย่อมลงมาและเม็ดเล็กกว่า
อร่อยหรือสำเนียงใต้ว่า “หรอย” หรือ “ร่อย” นั้น ถ้าเป็นสะตอดานเหมาะจะเป็นสะตอผัด ซึ่งผัดได้หลากหลายวิธี
แต่ถ้าเป็นสะตอข้าวจะเหมาะกับการกินสดจิ้มน้ำพริกสารพัด หรือแกล้มแกงเผ็ด โดยเฉพาะแกงพุงปลาที่ชาวภาคกลางเรียกแกงไตปลา กับแกล้มแกงส้มที่ชาวภาคกลางเรียกแกงเหลือง และแกล้มขนมจีนน้ำยาใต้นี่แหละวิเศษสุด
จำเพาะสะตอข้าวนั้นหากจิ้มน้ำพริกกะปิให้แกะเม็ดติดเปลือกไว้ซีกหนึ่ง จะได้รสละมุนกว่ากินเนื้อเม็ดโดดๆ ซึ่งจัดจ้านกว่า ลองดูนะ
หมอพื้นบ้านท่านหนึ่งแนะว่า กินสะตอสดเม็ดหนึ่งให้กินถั่วฝักยาวท่อนหนึ่งตามไปด้วย ว่าช่วยลดกลิ่นแรงๆ ของสะตอได้ดีนัก
อาจลดกลิ่นในห้องน้ำได้บ้างกระมัง
กลิ่นสะตอนั้นแรงร้ายกาจนัก เป็นกลิ่นเฉพาะที่แบ่งคนให้ถึงโปรดและถึงเกลียดได้จริง
ลักษณะพิเศษของสะตออีกอย่างคือ ต้องกินประกอบกับสิ่งอื่นหรืออาหารอื่นเสมอ เช่น จิ้มเครื่องจิ้มสารพัดดังกล่าว หรือแกล้มแกงหรือผัด
เคยแนะเพื่อนผู้ไม่เคยกินสะตอว่า ต้องกินกับอะไร ยังไม่ทันจบคำ เพื่อนไม่ฟังหยิบเม็ดสะตอใส่ปากเคี้ยว ผลคือเจ้าเพื่อนคนนี้เกลียดสะตอ บอกว่าสาปส่งจนตายจะไม่ขอแตะสะตออีก แม้จะผัดจะแกล้มอะไรก็ตาม ทำให้เรารู้สึกผิดและต้องขอโทษสะตอ แม้จนวันนี้ที่ไม่รู้วิธีบอกให้เพื่อนเข้าใจว่า
อะไรกินกับอะไร
เพิ่งกลับจากเมืองสตูลและเมืองตรัง ได้กินสะตอจิ้มน้ำพริกแมงดาสมใจที่ตรังนี่เอง
น้ำพริกแมงดาปักษ์ใต้นี่เป็นสูตรพิเศษไม่เหมือนน้ำพริกแมงดาบรรดามีทั่วไป และต้องกินกับสะตอพิเศษ คือสะตอเผาด้วยจึงจะเข้ากัน เป็นสูตรจำเพาะคือ
พริกแมงดา สะตอเผา
อย่างนี้ครับ ตำกุ้งแห้งป่นหยาบๆ แบ่งไว้นอกครกสักช้อนหนึ่ง ใส่กะปิลงครกพร้อมกระเทียมกลีบพอให้ดับกลิ่นกัน โขลกเข้ากับกุ้งแห้งในครกนั่นแหละ เข้ากันดีแล้วขยุ้มพริกขี้หนูสดตามชอบลงตำต่อ สุดท้ายเอาแมงดานากลิ่นฉุนดีย่างไฟพอได้ที่เด็ดเล็บเด็ดปีกออกแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ลงครกโขลกเคล้า เท่านี้เสร็จแล้ว
เชิญพริกแมงดาลงถ้วย โรยด้วยกุ้งแห้งที่แบ่งไว้กับพริกขี้หนูสดสองสามเม็ดประดับหน้าถ้วยน้ำพริก
สะตอคู่น้ำพริกแมงดาถ้วยนี้ต้องเป็นสะตอเผาทั้งเปลือก ควรเป็นสะตอข้าวจะเข้ากันดีกว่าสะตอดาน
แปลกคือ เป็นชุดที่รวมกลิ่นแรงกลิ่นฉุนได้วิเศษสมดุลไว้ในถ้วยในคำข้าวและในรสลิ้น
เป็นโอชะของแผ่นดินโดยแท้
ได้สูตรสะตอดองต้นฉบับจากแม่ลาภ ทองคำ อายุ 91 ปี แห่งท่าชนะ เมืองสุราษฎร์ ต้องจดจำเป็นภูมิปัญญาไว้ดังนี้
นำสะตอดานทั้งเปลือก มากน้อยตามชอบลงลวกน้ำเดือดในกระทะ
“นานแค่ไหนแม่” แม่ตอบว่า “พอไข้”
คำพอไข้ของแม่นี่เห็นภาพเลยนะ
เอาฝักสะตอลวก “พอไข้” นี่ลงแช่น้ำเย็น รีดเม็ดออกจากฝักได้เลยเพราะเปลือกนิ่มนี่เอง ล้างเมือกจากเม็ดออกให้สะเด็ด หมักเกลือไว้สักคืนหนึ่งแล้วนำน้ำเย็นผสมทิ้งไว้สักวันสองวัน คอยดูถ้ามีฟองขึ้นแสดงว่าอ่อนเกลือให้เติมเกลืออีกจนหมดฟอง
นี่แหละได้ที่แล้ว เป็นสะตอดองเค็ม
นำสะตอดองเค็มมาแปรเป็นสะตอดองเปรี้ยวดังนี้
เอาเม็ดสะตอดองนั้นมาล้าง เกลี้ยงเกลาดีแล้วใส่ภาชนะ ทีนี้เอาน้ำซาวข้าวที่นอนก้นจนใส เฉพาะส่วนที่ใสนี่เทลงแช่เม็ดสะตอแล้วใช้น้ำตาลทรายสักช้อน เกลือป่นสักค่อนช้อนผสมลงไป ทิ้งไว้ราวห้าถึงเจ็ดวัน หมั่นดูด้วย ถ้ามีฟองขึ้นให้เติมเกลือจนอยู่ตัวหมดฟองได้ที่ดีละ
นี่แหละ โอชะของแผ่นดินขนานเด็ด
รสแท้รสแม่ทำ