ต่างประเทศ : เหลี่ยมเกมการเมืองทรัมป์

ขณะที่พรรคเดโมแครตอยู่ในสัปดาห์ของการประชุมใหญ่พรรค เพื่อที่จะมอบธงการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการให้กับโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีคู่หูของบารัค โอบามา ผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศ เพื่อลงสนามเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากับโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ในศึกชิงชัยที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้

ด้านโพลสำรวจความนิยมในตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีล่าสุดของสำนักจัดทำโพลอย่างซีเอ็นเอ็น สื่ออเมริกันหัวแถว ทำร่วมกับเอสเอสอาร์ซี บริษัทวิจัย เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์ออกมาชี้ว่า ไบเดนมีคะแนนนิยมนำทรัมป์อยู่ที่ 51% ต่อ 42% หรือทิ้งห่างกันอยู่ 9 จุด

ส่วนโพลของสำนักทำโพลใหญ่ๆ อีกหลายเจ้า ซึ่งออกมาก่อนหน้าเพียงไม่กี่วันก็บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าไบเดนมีคะแนนนิยมนำห่างทรัมป์อยู่ประมาณ 9-10 จุด

โดยผลโพลนี้ยังทำขึ้นหลังจากไบเดนได้ประกาศเลือกนางคามาลา แฮร์ริส วุฒิสมาชิกและอดีตอัยการสูงสุดผิวสีเชื้อสายอินเดีย จากรัฐแคลิฟอร์เนีย วัย 55 ปี เป็น “รันนิ่งเมต” ของตนเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผลโพลที่ออกมาน่าจะเป็นสัญญาณขานรับที่ดีต่อการจับมือร่วมหัวจมท้ายกันของไบเดนและแฮร์ริสในการสู้ศึกเลือกตั้งกับทรัมป์ ที่มีไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีเป็นคู่หู

ตอนนี้คู่แข่งทางการเมืองทั้งสองฝ่ายต่างเดินกลยุทธ์ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากอเมริกันชน

แต่การเดินเกมการเมืองของทางฝ่ายทรัมป์ที่หวังจะช่วงชิงความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่ง กลับดูจะเรียกทัวร์ลงและไม่เป็นผลดีกับตัวทรัมป์เองเสียมากกว่า

 

เริ่มตั้งแต่ประเด็นที่ทรัมป์ออกมาเปรยไอเดียที่จะให้เลื่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีออกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ โดยทรัมป์อ้างสภาพการณ์ไม่เอื้ออำนวยจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเผชิญกันอยู่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงติดเชื้อได้หากออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

และยังชี้ว่าหากจะแก้ไขสถานการณ์นี้ด้วยการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ทรัมป์ก็อ้างว่าวิธีการดังกล่าวอาจนำไปสู่การทุจริตการเลือกตั้ง หรืออาจทำให้ผลการเลือกตั้งเกิดความคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้องได้

โดยที่ทรัมป์ไม่มีหลักฐานใดมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้ และยังดูจะกลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการเลือกตั้งในประเทศตนเองที่เป็นแม่แบบประชาธิปไตยไปเสียอีก

ที่สำคัญ บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังออกมาชี้ว่า ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจที่จะสั่งเลื่อนการเลือกตั้งได้ แต่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็จะต้องผ่านความเห็นชอบจากทั้งสองสภาของสหรัฐเท่านั้น

และยังจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนอีกด้วย

 

ทฤษฎีการเกิด เป็นอีกกลยุทธ์ที่ทรัมป์ถูกวิจารณ์เละเทะว่าเดินเกมสกปรกในการโจมตีคู่แข่งฝ่ายตรงข้าม หลังจากมีนักนิติศาสตร์หัวอนุรักษนิยมรายหนึ่งออกมาแสดงความกังขาถึงปูมกำเนิดของ ส.ว.แฮร์ริส รันนิ่งเมตของไบเดนว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีหรือไม่

เนื่องจากพ่อ-แม่ของแฮร์ริสต่างมีสถานะเป็นผู้อพยพเข้าเมืองมาในอเมริกาด้วยกันทั้งคู่ขณะที่แฮร์ริสลืมตามาดูโลก

ก่อนที่จะมีทั้งนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาวเองด้วยที่ยืนยันในที่สุดว่า ส.ว.แฮร์ริสมีคุณสมบัติถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด โดย ส.ว.แฮร์ริสเกิดที่เมืองโอ๊กแลนด์ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย

ต่อประเด็นนี้แม้ทรัมป์จะไม่ได้เป็นผู้เปิดประเด็นเอง แต่ทรัมป์กลับไปให้น้ำหนักกับข้อมูลอันบิดเบือนนี้ด้วยการกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนได้ยินมาว่า ส.ว.แฮร์ริสไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับตำแหน่งรองประธานาธิบดี เพราะไม่ได้เกิดในประเทศนี้

จนทำให้ทรัมป์ถูกวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าเอามุขทฤษฎีสมคบคิดเก่าๆ เรื่องปูมกำเนิดมาเล่นงานคู่แข่งฝ่ายตรงข้าม

อย่างที่ทรัมป์เคยใช้มาก่อนหน้านี้ในการโจมตีกล่าวหาอดีตประธานาธิบดีโอบามาอย่างผิดๆ ว่าเกิดในเคนยา ไม่ใช่ที่รัฐฮาวาย

 

อีกประเด็นร้อนๆ ที่ทำให้สมาชิกสภาคองเกรสในฟากฝั่งพรรคเดโมแครตนั่งไม่ติด โดยมองว่าเป็นความพยายามของทรัมป์ในการเตะถ่วงหรือพยายามทำลายการเลือกตั้ง หลังจากที่ทรัมป์เห็นว่าตนเองมีคะแนนนิยมตามหลังไบเดนอยู่

ด้วยการเดินเกมจะเตะสกัดงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมต่อ “การไปรษณีย์สหรัฐ” หรือยูเอสพีเอส

ในขณะที่หน่วยงานนี้กำลังต้องการความสนับสนุนอย่างมากในห้วงเวลาที่ชาวอเมริกันอาจต้องพึ่งพาการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์มากเป็นประวัติการณ์ เหตุจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ขณะที่ยูเอสพีเอสภายใต้การบริหารงานของนายหลุยส์ ดีจอย ผู้อำนวยการยูเอสพีเอส ที่ทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมาในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงานใหม่ โดยอ้างว่าเพื่อลดรายจ่ายขององค์กรที่ยังประสบปัญหาหนี้สินจำนวนมาก

ซึ่งการปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวที่รวมถึงการตัดลดการทำงานล่วงเวลาลง การถอนตู้ไปรษณีย์ออก การยกเลิกการจัดส่งและปิดศูนย์คัดแยกไปรษณีย์ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์ของชาวอเมริกันนับหลายล้านคน และยังอาจจะกระทบต่อการเลือกตั้งไปทั้งระบบ

ตอนนี้มีการตั้งคณะทำงานทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเพื่อสอบสวนในเรื่องนี้แล้ว โดยนายดีจอยกำลังจะเข้าไปให้ปากคำแก่คณะทำงานสอบสวนดังกล่าวในสัปดาห์หน้า และยังสั่งระงับการปรับเปลี่ยนมาตรการที่ได้ประกาศออกไปก่อนหน้านี้

ที่ว่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินเกมเตะสกัดคู่แข่งของทรัมป์ ที่ดูจะคิดหากลวิธีไหนได้ก็ว่าไปก่อน แทนที่จะสู้ด้วยผลงานในตลอด 4 ปีที่ทรัมป์อวดอ้างมา หรือนี่จะเป็นสิ่งสะท้อนว่าทรัมป์ก็ยังไม่มั่นใจในฝีมือของตนเอง!